ปัจจัยเสี่ยงหลักของตลาดหุ้นไทย มาจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจไทย และความเสี่ยงทางการเมืองในไตรมาส 2 โดยปัจจัยเสี่ยงที่เพิ่มเข้ามาในครั้งนี้คือ การปรับลดคาดการณ์กำไรสุทธิของบริษัทจดทะเบียนในปี 57 ในขณะที่การสำรวจครั้งก่อนมีปัจจัยเสี่ยงเรื่องการชะลอหรือยกเลิกมาตรการ QE ของสหรัฐด้วย อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่ยังประเมินว่าสหรัฐฯ จะทยอยตัดลด QE จนหมดภายในสิ้นปี 57 และจะปรับขึ้นดอกเบี้ยไม่เกินไตรมาส 3/58
สำหรับประเด็นบวก ได้แก่ การคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจโลกจะฟื้นตัว เหมือนกับการสำรวจครั้งที่แล้ว การที่ต่างชาติจะกลับมาซื้อหุ้นไทย และคาดว่าสถานการณ์การเมืองจะคลี่คลายในครึ่งปีหลัง ซึ่งการสำรวจครั้งก่อนมีประเด็นบวกเรื่องผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนและการขยายตัวของเศรษฐกิจไทย
ทางด้านอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจ (GDP Growth) ของไทยในปี 57 นักวิเคราะห์ได้ปรับลดลงเหลือเฉลี่ย 2.4% จากคาดการณ์ครั้งก่อนที่ 2.9% ในขณะที่คาดว่าอัตราการเติบโตของกำไรต่อหุ้น (EPS Growth) ปี 57 จะเติบโตเฉลี่ย 11.0% ปรับลดลงจากคาดการณ์เดิมที่ 12.1%
นอกจากนี้ ราคาทองคำสิ้นปี 57 คาดว่าจะอยู่ที่ 20,300 บาทต่อบาททองคำ ซึ่งปรับเพิ่มขึ้นจากการคาดการณ์ครั้งก่อนที่ 20,049 บาทต่อบาททองคำ
สมาคมฯ แนะนำให้นักลงทุนเลือกลงทุนในหุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานดี มีเงินปันผลสม่ำเสมอ โดยเน้นหุ้นที่ผลประกอบการยังเติบโตได้ดี แม้มีปัญหาทางการเมือง มีความทนทานต่อภาวะเศรษฐกิจในประเทศที่ชะลอตัว หรืออิงกับการเติบโตของเศรษฐกิจโลก โดยทยอยสะสมในจังหวะที่ภาพรวมตลาดปรับตัวลดลงจากผลกระทบของการเมือง
พร้อมแนะนำติดตามข้อมูลข่าวสารอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะสถานการณ์การเมือง อ่านบทวิเคราะห์จากหลาย ๆ แหล่งอย่างสม่ำเสมอ ใช้สติในการลงทุน ไม่หวั่นไหวตามกระแส
ทั้งนี้ หุ้นที่นักวิเคราะห์แนะนำให้ลงทุนตรงกันหลายสำนักวิจัยได้แก่ INTUCH, IVL, KBANK, PTTGC, SCC, SPALI, TTA เป็นต้น (เรียงตามลำดับตัวอักษร)