ทั้งนี้ ในช่วงต้นปีที่ผ่านมาประเทศไทยต้องเผชิญกับเหตุการณ์ความขัดแย้งทางการเมือง ซึ่งได้ส่งผลกระทบต่อภาวะเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศ อย่างไรก็ดีมีทิศทางที่ดีขึ้นในช่วง 1-2 เดือนที่ผ่านมา ในส่วนของบริษัทแม้ปัจจัยภายนอกไม่เอื้ออำนวยนัก แต่ด้วยแผนกลยุทธ์ที่ทางบริษัทได้วางเอาไว้ ช่วยให้บริษัทยังคงมีผลประกอบการที่ดีอย่างต่อเนื่อง และเป็นที่น่าภาคภูมิใจที่สุดในรอบ 8 ปีที่บริษัทฯ สามารถขยายธุรกิจได้อย่างต่อเนื่องทั้งตลาดในกรุงเทพฯ-ปริมณฑล และต่างจังหวัด ส่งผลให้ผลประกอบการของบริษัทฯ โดยในไตรมาส 1/57 มียอดรับรู้รายได้อยู่ที่ 655.6 ล้านบาท ปรับเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนประมาณ 5% ในขณะที่เพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อนหน้าประมาณ 21%
นอกจากนี้ บริษัทยังคงความสามารถในการบริหารจัดการต้นทุนต่างๆ ได้ดีกว่าค่าเฉลี่ยของอุตสาหกรรมมาได้อย่างต่อเนื่องยาวนาน โดยในไตรมาสแรกนี้มีอัตราส่วนกำไรขั้นต้น(Gross Profit Margin) อยู่ที่ 38.54% สูงกว่าค่าเฉลี่ยของอุตสาหกรรม รวมทั้งบริษัทยังคงสามารถบริหารจัดการค่าใช้จ่ายในการบริหารต่างๆได้ดี โดยในไตรมาสแรกนี้แม้บริษัทจะมียอดขายที่ปรับเพิ่มขึ้น แต่ค่าใช้จ่ายในส่วนของการขายและบริหารปรับลดลง ส่งผลให้มีอัตราส่วนค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารต่อยอดขาย (SG&A/Sales)ปรับลดลงมาอยู่ที่ 9.97%จากที่ในช่วงเดียวกันของปีก่อนอยู่ที่ 10.86% ส่งผลให้ในไตรมาสแรกนี้บริษัทมีกำไรสุทธิทั้งสิ้น 125.7ล้านบาท คิดเป็นอัตรากำไรสุทธิที่ 19.2% ซึ่งนับเป็นอัตราส่วนกำไรสุทธิที่ดีเป็นลำดับต้นๆ ของอุตสาหกรรม
ในแง่ความแข็งแกร่งทางด้านการเงิน บริษัทมีการก่อหนี้อยู่ในระดับที่สามารถควบคุมได้ โดย ณ สิ้นไตรมาส 1/57 บริษัทมีอัตราส่วนหนี้สินต่อทุนอยู่เพียงแค่ 0.60 เท่า ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของอุตสาหกรรมซึ่งอยู่ที่ประมาณ 1.5 เท่า ทั้งนี้ ตัวเลขดังกล่าวสะท้อนถึงความมั่นคงทางการเงิน ตลอดจนศักยภาพในการขยายธุรกิจได้อีกมากในอนาคตโดย