ทั้งนี้ เห็นได้จากไตรมาส 1/57 รายได้ยังเติบโตได้ถึง 11% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และกำไรสุทธิเติบโตราว 1% เป็นผลจากการที่บริษัทขยายกิจการไปต่างประเทศมากขึ้น ช่วยให้บริษัทฯสามารถรักษาระดับการเติบโตได้เมื่อเทียบกับภาพรวมอุตสาหกรรมในกลุ่มเดียวกันที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ทางการเมืองภายในประเทศ ซึ่งเป็นปัจจัยที่ไม่สามารถควบคุมได้
อนึ่ง MINT และบริษัทย่อย ไตรมาส 1/57 มีกำไรสุทธิ 1.42 พันล้านบาท กำไรสุทธิต่อหุ้น 0.3549 บาท เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 1.41 พันล้านบาท กำไรสุทธิต่อหุ้น 0.3789 บาท
นายชัยพัฒน์ กล่าวว่า แม้ว่าโรงแรมในเครือ MINT ที่ตั้งอยู่ในกรุงเทพฯ ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ทางการเมือง แต่โรงแรมในต่างจังหวัด อาทิ เชียงใหม่ เชียงราย สมุย และภูเก็ต ยังมีอัตราการเข้าพักที่ค่อนข้างดี โดยเฉพาะหลังจากที่รัฐบาลได้ยกเลิกการบังคับใช้ พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน ขณะที่จำนวนห้องพักทั้งในส่วนของที่เป็นเจ้าของเองและการรับจ้างบริหาร เพิ่มขึ้น 25% ส่งผลดีต่อรายได้ของบริษัทให้ปรับตัวสูงขึ้น
ในไตรมาส 1/57 อัตราการเข้าพักรวมของโรงแรมเครือ MINT ในประเทศลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อนราว 6% ซึ่งโดยส่วนใหญ่แล้วเป็นผลกระทบมาจากโรงแรมในกรุงเทพฯ ที่มีอัตราการเข้าพักต่ำลง แต่อย่างไรก็ตาม บริษัทได้มีการปรับขึ้นราคาห้องพักเฉลี่ยเพิ่มขึ้นราว 18% ตั้งแต่ช่วง ม.ค.57 ถึงปัจจุบัน ส่วนทั้งปีคาดว่าจะมีการปรับขึ้นราคาห้องพักอีกเฉลี่ย 6-7% เพราะหลังจากนี้คงจะปรับขึ้นราคาได้ไม่มากแล้ว เนื่องจากเข้าสู่ช่วงโลซีซั่น
นายชัยพัฒน์ กล่าวอีกว่า บริษัทยังจะเดินหน้าตามแผนลงทุนที่ได้กำหนดไว้ในแผน 5 ปีเช่นกัน ซึ่งได้ตั้งงบลงทุนเพื่อขยายธุรกิจเดิมราว 2-2.5 หมื่นล้านบาท และตั้งงบลงทุนเพื่อใช้ในการเข้าซื้อกิจการใหม่อีก 1-1.2 หมื่นล้านบาท ขณะที่บริษัทตั้งเป้าที่จะเพิ่มสัดส่วนรายได้จากต่างประเทศเพิ่มขึ้นเป็น 45% ภายในระยะเวลา 5 ปี จากปัจจุบันอยู่ที่ 38% ทั้งในธุรกิจอาหารและธุรกิจโรงแรม