ส่วนหนึ่งจะนำมาจากการออกและเสนอขายใบสำคัญแสดงสิทธิที่จะซื้อหุ้นสามัญของบริษัท (Warrant) จำนวน 80 ล้านหุ้น ตามนโยบายที่บริษัทฯจะจัดสรรให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิมในสัดส่วนการถือหุ้นในอัตราส่วนการจองซื้อหุ้นสามัญเพิ่มทุน 2 หุ้นต่อ 1 หน่วยใบสำคัญแสดงสิทธิ (2:1) โดย Warrant มีระยะเวลา 3 ปี ซึ่งบริษัทฯ คาดว่าจะมีเม็ดเงินเข้ามาประมาณ 560 ล้านบาทจากการใช้สิทธิในการแปลงสภาพตามระยะเวลาดังกล่าวเพื่อนำไปขยายธุรกิจในอนาคต
อย่างไรก็ตาม บริษัทฯ ยังคงคาดว่าในครึ่งปีหลังจะได้รับอานิสงส์จากผู้ประกอบการกลุ่มอุตสาหกรรมในต่างประเทศที่ย้ายฐานผลิตเข้ามาในประเทศส่งผลให้ผลิตภัณฑ์วัตถุดิบอุตสาหกรรม อาทิ ทองแดงและทองเหลืองชนิดแผ่นและม้วน, ท่อทองเหลือง และอุปกรณ์, อะลูมิเนียมชนิดม้วนเกรดพิเศษเพื่ออุตสาหกรรมหลังคา ฯลฯ และผลิตภัณฑ์วัสดุเพื่อใช้ในการก่อสร้าง อาทิ ฉนวนยางป้องกันความร้อน, อะลูมิเนียมชีททำหลังคารีดลอน ฯลฯ มีดีมานด์ความต้องการผลิตภัณฑ์เข้ามาเพิ่มขึ้น แต่ทั้งนี้ คงต้องขึ้นอยู่กับปัจจัยภายในประเทศด้วยว่าจะเอื้ออำนวยหรือไม่
สำหรับผลการดำเนินประจำงวดไตรมาส 1/57 มีรายได้รวมอยู่ที่ระดับ 346.80 ล้านบาท ลดลง 16.75% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้ 416.59 ล้านบาท ส่งผลให้กำไรสุทธิอยู่ที่ระดับ 13.02 ล้านบาท ลดลง 52% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 27.13 ล้านบาท ทั้งนี้ เป็นผลมาจากการชะลอตัวลงของภาคอุตสาหกรรมและการก่อสร้างเนื่องมาจากสถานการณ์ทางการเมือง
"ในช่วงไตรมาสแรกของปีนี้ ภาครวมของอุตสาหกรรมได้รับผลกระทบจากปัจจัยทางการเมืองที่เข้ามาเป็นตัวแปรหลักจนส่งผลให้กลไกทางด้านเศรษฐกิจของประเทศมีการชะลอตัวอย่างเห็นได้ชัด ซึ่งจากปัจจัยดังกล่าวทำให้ผลการดำเนินงานไตรมาส 1/2557 มีการชะลอตัวตาม แต่ทั้งนี้ โดยส่วนตัวเชื่อว่าในช่วงครึ่งปีหลังภาครวมของเศรษฐกิจจะกลับมาฟื้นตัวได้อีกครั้ง และหากว่าเศรษฐกิจดีขึ้นแนวโน้มของภาคอุตสาหกรรมก็จะปรับตัวเพิ่มขึ้นตาม"นายชำนาญกล่าว