นอกจากนั้น ราคาของอะโรเมติกส์ก็น่าจะดีขึ้น โดยเฉพาะพาราไซลีน(PX)ที่บริษัทคาดว่าน่าจะผ่านจุดต่ำสุดในไตรมาสแรกไปแล้ว รวมทั้งแนวโน้มโรงงานผลิต PTA ใหม่ทยอยออกมาทำให้ความต้องการใช้ PX เพิ่มขึ้น ทั้งนี้ คาดว่าส่วนต่างราคา(สเปรด)ของ HDPE ปีนี้เฉลี่ยที่ 600 เหรียญ/ตัน จากปีก่อนที่มีเฉลี่ย 550 เหรียญ/ตัน ส่วนสเปรดของ PX คาดเฉลี่ยอยู่ที่ 330 เหรียญ/ตัน
"ไตรมาสแรก กำไรไม่ค่อยดี เราไป Turnaround (ปิดซ่อมบำรุงโรงงาน) เยอะ แต่หลังจาก เม.ย.เรามีโรงงานพร้อมทำกำไรให้ดีขึ้น ไตรมาสแรกมีกำไร 6 พันกว่าล้านบาท มี EBITDA Margin 8% ก็ยังเป็นไปตามแผน และในปี 2020(พ.ศ.2563) EBITDA Margin น่าจะไปอยู่ที่ 14%"นายบวร กล่าว
สำหรับโครงการการลงทุนในต่างประเทศ และการขยายธุรกิจไปตลาดผลิตภัณฑ์ปลายน้ำ นายบวร กล่าวว่าขณะนี้อยู่ระหว่างการพิจารณาหาผู้ร่วมทุนที่มีเทคโนโลยีและความชำนาญในการผลิตเม็ดพลาสติกคอมปาวด์ ขณะเดียวกันบริษัทยังได้มีการทำการตลาดล่วงหน้าเพื่อสร้างฐานลูกค้าและส่วนแบ่งตลาดของผลิตภัณฑ์ปลายน้ำตามกลยุทธ์ของบริษัท
นายบวร กล่าวว่า ระหว่างนี้ได้บริษัทได้เปิดการเจรจาทั้งพันธมิตรจากจีน ยุโรป และ สหรัฐ เพื่อร่วมทุนผลิตผลิตภัณฑ์เม็ดพลาสติกคอมปาวด์ที่นำสารอื่นมาเป็นเติมแต่งให้เหมาะสมกับการใช้งาน คาดว่าภายในปีนี้น่าจะได้ข้อสรุป รวมทั้ง PTTGC เองก็จะมีผลิตผลิตภัณฑ์คอมปาวด์ที่เป็นการผลิตสินค้าขั้นปลายจากวัตถุดิบของบริษัทเอง ฉะนั้น ภายในปีนี้จะมีอย่างน้อย 2 โครงการ และบริษัทจะทำ Pre Market หากผลิตภัณฑ์ใดได้รับการตอบรับจากตลาดดีก็จะตั้งโรงงานผลิตในไทย
ทั้งนี้ เม็ดพลาสติคอมปาวด์ที่ผลิตมุ่งนำไปใช้สำหรับอุตสาหกรรมรถยนต์ และ อุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้ามีความต้องการสูง ทั้งนี้ปัจจุบันมีความต้องการ 19 ล้านตันต่อปีในตลาดโลก โดยเป็นตลาดเอเชีย 12 ล้านตันต่อปี ตลาดเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ 1 ล้านตันต่อปี
ส่วนความคืบหน้าการรร่วมลงทุนโครงการปิโตรคอมเพล็กซ์ในอินโดนีเซียร่วมกับเปอตามีน่านั้น คาดว่าจะมีข้อสรุปภายในปีนี้แน่นอน แม้ว่าขณะนี้จะล่าช้ากว่าแผนไปเล็กน้อย เนื่องจากกระบวนการทำงานของเปอตามีน่าเป็นแบบราชการ และคาดว่าปีหน้าจะเริ่มก่อสร้างโรงงานได้ไม่อย่างนั้นจะพลาดเป้า โดยเบื้องต้นมองพื้นที่ตั้งโรงงานไว้ที่เมืองบาลองกัน วงเงินลงทุนประมาณ 4.5 พันล้านเหรียญ โดยมีกำลังการผลิต 1 ล้านตัน/ปี และจะมีผลิตภัณฑ์ปลายน้ำด้วย
ขณะเดียวกันการเจรจาร่วมทุนกับ Sinochem ของจีนในการผลิตผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีขั้นปลาย ก็คาดว่าจะได้ข้อสรุปภายในปีนี้เช่นกัน เพราะการเจรจาก็ยังเดินหน้าไปได้ด้วยดี โดยขณะนี้ได้ลงในรายละเอียดว่าจะร่วมมือกันในผลิตภัณฑ์ตัวใดบ้าง ซึ่งเบื้องต้น ได้แก่ โพลียูริเทน
ด้านนายปฏิภาณ สุคนธมาน รองกรรมการผู้จัดการใหญ่สายการเงินและบัญชี PTTGC คาดว่า EBITDA Margin ในปีนี้จะใกล้เคียงปีก่อนที่ 10% จากในไตรมาส 1/57 อยู่ที่ 8% เนื่องจากปีนี้ราคาโอเลฟินส์ดีขึ้นหลังจากทยอยปรับตัวชึ้นมาตั้งแต่ปลายปีก่อน แม้ว่าราคาปีนี้จะถ่วงผลประกอบการบ้าง แต่เนื่องจากสัดส่วน EBITDA จากโอเลฟินส์มีเพียง 20% จึงไม่ค่อยกระทบภาพรวมมานัก ขณะที่สัดส่วนของอะโรเมติกส์สูงถึง 50% ทั้งนี้ต่างจากปีก่อนที่ช่วงครึ่งปีแรกราคาอะโรเมติกส์ดีแต่เริ่มเห็นสัญญาณไม่ดีในข่วงครึ่งปีหลัง ขณะที่โอเลฟินส์เริ่มกลับมาดีในครึ่งปีหลังแต่บริษัทต้องหยุดผลิตจากโรงแยกก๊าซ 5 ต้องปิดซ่อม
นอกจากนี้ บริษัทเตรียมที่จะออกหุ้นกู้เสนอขายในประเทศ จำนวนประมาณ 7,000-10,000 ล้านบาทในช่วงปลายไตรมาส 2 หรือไตรมาส 3 ปีนี้ เพื่อรักษาฐานเงินสดให้อยู่ระดับเดิม จากที่บริษัทได้ไถ่ถอนหุ้นกู้ชุดเดิมที่หมดอายุเมื่อ เม.ย.ที่ผ่านมาจำนวน 1.5 หมื่นล้านบาท โดยสิ้นไตรมาส 1/57 บริษัทมีเงินสดอยู่ 4.8 หมื่นล้านบาท