นอกจากนี้ บริษัทฯคาดว่ายอดขายในปี 58 จะไม่ต่ำกว่า 1,000 ล้านบาท ซึ่งจะเป็นการเติบโตอย่างก้าวกระโดด โดยจะมีการทำการตลาดอย่างจริงจังมากขึ้น ซึ่งมองว่าในปีหน้าตลาดน้ำผลไม้จะมีการแข่งขันกันอย่างดุเดือดแน่นอน และตั้งเป้าหมายไว้ว่าอีก 4 ปีข้างหน้า บริษัทฯจะมียอดขาย 2,500 ล้านบาท โดยมองว่าจะสามารถถึงจุดคุ้มทุนได้ภายใน 2 ปีข้างหน้าจากนี้ ซึ่งเร็วกว่าที่ปรึกษาทางการเงินของบริษัทฯได้คาดการณ์เอาไว้ว่าจะถึงจุดคุ้มทุนได้ประมาณ 7 ปี เนื่องด้วยบริษัทฯมีความมั่นใจด้านของการสร้างแบรนด์ให้ติดตลาดได้
"รอบนี้เราได้มาพร้อมสูตรและแหล่งซื้อ การที่จะต่อยอดไม่ยาก ซึ่งเรามั่นใจเป็นอย่างมาก เพราะ สิ่งสำคัญคงไม่ใช่เรื่องราคา แต่จะเป็นการสร้างแบรนด์มากกว่า ซึ่งจะทำให้สินค้าเป็นสินค้าระดับพรีเมียมที่มีศักยภาพในการแข่งขัน หลังจากนั้น 2-3 ปีข้างหน้า ก็จะเน้นเรื่องการตลาดให้ใหญ่ขึ้น โดยเราตั้งเป้าการออกผลิตภัณฑ์ใหม่ๆไว้ปีละ 2-3 รสชาติ"นายตัน กล่าว
สำหรับการทำการตลาดและจำหน่ายจะเริ่มที่ประเทศไทยก่อนในปีนี้ และจากนั้นในปี 58 จะเริ่มขยับไปแถบประเทศอาเซียนที่มีประชากรจำนวนมาก เช่น จีน อินเดีย และอินโดนีเซีย ซึ่งขณะนี้ก็อยู่ระหว่างการศึกษาตลาดอย่างเข้มข้น โดยจะนำสินค้าทุกชนิดของบริษัทฯ ที่เป็นทั้งน้ำผลไม้ไบเล่และชาเขียว อิชิตัน ไปวางจำหน่าย
อย่างไรก็ตาม การผลิตน้ำผลไม้ไบเล่ บริษัทฯจะใช้โรงงานที่มีอยู่ โดยโรงงานที่ 1 เฟส 2 มีพื้นที่การผลิต 2 หมื่นตารางเมตร โดยภายในสิ้นปีนี้จะมีการเพิ่มเครื่องจักรเข้ามาอีก 1 ตัว จะส่งผลให้มีกำลังการผลิตเป็น 1,000 ล้านขวดต่อปี และหากในอนาคตมีความจำเป็นต้องเพิ่มกำลังการผลิตมองว่าโรงงานเฟส 2 จะสามารถรองรับเครื่องจักรได้อีก 2 ตัว ซึ่งจะดันให้กำลังการผลิตเพิ่มขึ้นอีก 1,400 ล้านขวดต่อปี โดยมองว่าจะส่งผลดีต่อมาร์จิ้นของบริษัทฯ เนื่องจากมีกำลังการผลิตเพิ่มขึ้น อีกทั้งบริษัทฯไม่มีค่าใช้จ่ายในเรื่องตัวอาคารที่สึกหรอจากที่มีการชำระค่าใช้จ่ายส่วนนี้ครบแล้ว โดยบริษัทฯตั้งเป้าอัตรากำไรสุทธิไว้อยู่ที่ 14-15% ในปีนี้
"ในอนาคตอิชิตันคงไม่มีเฉพาะชาเขียวหรือไบเล่เราต้องแตกไลน์ใหม่ ถ้าเรามีกำไร เกินที่ตั้งเป้าไว้ 14-15% เราจะเอาเงินส่วนนั้น มาลงทุนทำสินค้าใหม่ ออกรสชาติใหม่ เพื่อให้ธุรกิจเติบโต ไม่ใช่เอากำไรมากแล้วอยู่กับที่ วันหนึ่งก็อาจจะพลาดก็ได้ เพราะธุรกิจคือสิ่งไม่แน่นอน"นายตัน กล่าว