"เธียรสุรัตน์"คาดขาย IPO-เทรดกลาง มิ.ย.ระดมทุนขยายผลิต บุกตลาดตจว.-ตปท.

ข่าวหุ้น-การเงิน Monday May 19, 2014 11:37 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

บมจ.เธียรสุรัตน์(TSR) คาดว่าจะเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนต่อประชาชนทั่วไปครั้งแรก(IPO)จำนวน 86 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1 บาท และนำหุ้นเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย(SET)ราวกลางเดือน มิ.ย.57 โดยเบื้องต้นเชื่อว่าจะระดมทุนราว 200-300 ล้านบาท เพื่อใช้ในการขยายกำลังการผลิต การขยายสาขาต่างจังหวัดและเพิ่มช่องทางการจัดจำหน่าย ปรับปรุงด้านการวิจัยพัฒนา และใช้เป็นทุนหมุนเวียน โดยเฉพาะในการขายสินค้าเงินผ่อน รวมทั้งการเตรียมพร้อมเพื่อขยายตลาดต่างประเทศรองรับประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน(AEC)ในอนาคต

TSR เป็นผู้ผลิตและจำหน่ายเครื่องกรองน้ำในครัวเรือนที่มีประวัติยาวนานกว่า 35 ปี ใช้ระบบการขายตรงแบบชั้นเดียว (Single Level Direct Sale) ในการจำหน่าย ปัจจุบันมีลูกค้ากว่าล้านรายในกรุงเทพมหานครและปริมณฑล รวมถึงตามหัวเมืองหลักในต่างจังหวัด ซึ่งมีทุนจดทะเบียน 344 ล้านบาท นอกจากนี้ยังมีบริษัทย่อยคือ บริษัท เซฟ เทรด อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด ที่รับจ้างผลิตเครื่องกรองน้ำให้แก่บริษัทขายตรงต่างๆ

นายวีรวัฒน์ แจ้งอยู่ ประธานกรรมการบริหาร TSR กล่าวว่า บริษัทคาดว่าจะนำเงินจากการเสนอขายหุ้น IPO มาใช้ในการขยายโอกาสทางธุรกิจที่กว้างขวางมากทั้งการขยายตลาดในกลุ่มค้ากลุ่มเดิมและกลุ่มใหม่ ขยายช่องทางการจำหน่ายทั้งการขายตรงในระบบเดิมด้วยการเพิ่มทีมขาย เพิ่มสาขา และการขยายไปสู่ตลาดต่างประเทศในกลุ่ม AEC รวมทั้งระบบใหม่คือการเพิ่มช่องทางขายผ่านโซเชียลมีเดีย เว็บไซด์ อีคอมเมิร์ซ เทเลเซลล์ และการขายแบบ Wholesales เป็นต้น ซึ่งจะช่วยให้อัตรากำไรสุทธิปรับตัวดีขึ้น เนื่องจากรายจ่ายค่าคอมมิชชั่นจะลดลงจากการขายตรง

นอกจากนั้น ยังจะมีการขยายการผลิตเพื่อรองรับการออกผลิตภัณฑ์ใหม่ การใช้เทคโนโลยี(IT)ช่วยในการปฏิบัติการและการบริหารให้มีประสิทธิภาพเพื่อรองรับการขยายตัวของธุรกิจด้วยระบบคอมพิวเตอร์ให้ทันสมัย และที่สำคัญคือการสร้าง Branding เครื่องกรองน้ำ TSR ให้เป็นที่รู้จักของตลาดอย่างกว้างขวางมากขึ้น

"ตลาดเครื่องกรองน้ำยังขยายตัวได้อีกมาก โดยเฉพาะในต่างจังหวัด เพราะเรามีเครื่องกรองน้ำที่สามารถรองรับน้ำที่มีคุณภาพไม่ดีนักอย่างน้ำบาดาลได้ มูลค่าตลาดรวมของเครื่องกรองน้ำปีหนึ่งปีหนึ่งราว ๆ 5 หมื่นล้านบาท ตอนนี้เราเป็นหนึ่งในเจ้าตลาด แต่มีส่วนแบ่งลูกค้าแค่ 2.85% ของครัวเรือนทั่วประเทศ และยังมีตลาดอาเซียนที่มีขนาดใหญ่มาก เราสนใจเวียดนาม ฟิลิปปินส์ และ อินโดนีเซีย"นายวีรวัฒน์ กล่าว

บริษัทมีแผนจะเปิดสาขาใหม่และศูนย์บริการเพิ่มเติมจากเดิม โดยในปีนี้จะเปิดสาขาอีก 3 แห่งใน พิษณุโลก อุดรธานี และระยอง ในส่วนปีหน้าเปิดเพิ่มใน ราชบุรี และชุมพร เพื่อให้มี 8 สาขาที่ดูแลตลาดในภูมิภาคต่าง ๆ อย่างทั่วถึง ส่วนศูนย์บริการในปีนี้จะเปิดเพิ่มอีก 5 แห่ง และปีหน้าเปิดอีก 14 แห่ง ซึ่งจะใช้งบลงทุนไม่มาก เพราะเป็นการเช่าพื้นที่ทั้งหมด ทั้งนี้ เป็นการรองรับกลยุทธการขยายตลาดจากเดิมที่ลูกค้ากว่า 90% อยู่ในกรุงเทพฯ

"เราจะเดินไปทั้ง 2 บท ทีมเก่าก็เดินไปเรื่อย ๆ ทีมใหม่ก็กำลังจะไป..."

นายวีรวัฒน์ กล่าวอีกว่า แผนขยายกำลังการผลิตขณะนี้ได้จัดซื้อที่ดินเนื้อที่ 9 ไร่ไว้แล้วใน จ.ปทุมธานี สามารถเพิ่มกำลังผลิตได้มากกว่า 30,000 เครื่องต่อเดือน จากปัจจุบันกำลังผลิตของ 2 โรงงานเดิมอยู่ที่ 1.5 หมื่นเครื่องต่อเดือน บริษัทคาดว่าจะใช้เงินลงทุนค่าก่อสร้างและจัดซื้อเครื่องจักรรวมประมาณ 60 ล้านบาท โดยจะเริ่มสร้างเฟสแรกในไตรมาส 3/57 และเริ่มผลิตภายในปีนี้ จากนั้นจะเดินหน้าจนครบ 3 เฟสภายในปลายปี 58 หรือต้นปี 59

กำลังการผลิตของโรงงานใหม่ส่วนหนึ่งจะเป็นการรองรับผลิตภัณฑ์ใหม่ 4 ตัว ได้แก่ เครื่องกรองน้ำขนาดเล็ก(compact)เพื่อขยายตลาดผู้ใช้ในคอนโดมิเนียม, เครื่องกรองน้ำ UV Plus, เครื่องกรองน้ำ RO(Reverse Osmosis) และ เหยือกกรองน้ำที่ใช้ในสำนักงานต่าง ๆ จากเดิมที่มีผลิตภัณฑ์หลักคือ เครื่องกรองน้ำรุ่น Power Health ที่มีแร่ธาตุแคลเซียมและแมกนีเซียม และ เครื่องกรองน้ำแร่รุ่น Super Alkali ที่เพิ่มความเป็นด่างในน้ำที่ผ่านการกรอง เปิดตัวไปเมื่อเดือน ก.พ.57 ดังนั้น การรับจ้างผลิตจะลดสัดส่วนลง ซึ่งจะส่งผลดีต่ออัตรากำไร เพราะการผลิตและจำหน่ายให้อัตรากำไรขั้นต้นถึง 80%

"เครื่องกรองน้ำของเราเน้นการทำให้สะอาด และปีนี้พัฒนาเป็นการผลิตน้ำด่าง คุณภาพของเราเมื่อเทียบกับคู่แข่งเครื่องในระดับเดียวกันของคู่แข่งแพงกว่าเรา 3-4 เท่า หรือถ้าราคาระดับเดียวกันอย่างเครื่องของจีนก็คุณภาพต่ำกว่าเรามากเทียบกับกันไม่ได้ เราเคยเน้นตลาดต่ำไปถึงระดับกลาง จากนี้จะพัฒนาจากระดับกลางไปในตลาดที่สูงขึ้น"นายวีรวัฒน์ กล่าว

ทั้งนี้ บริษัทคาดว่าแม้ปีนี้สภาพเศรษฐกิจจะไม่ดีนัก แต่ผลประกอบการจะสูงกว่าปีก่อนที่มียอดขายราว 1 พันล้านบาท จากยอดขายเครื่องกรองน้ำกว่า 100,000 เครื่อง และมีกำไรราว 100 ล้านบาท หลังจากบริษัทมีการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ และดำเนินการตามแผนงานทางธุรกิจหลังจากเข้าตลาดหลักทรัพย์ ขณะที่ฐานะการเงินของบริษัทค่อนข้างแข็งแกร่ง ที่ผ่านมาไม่เคยประสบกับภาวะขาดทุน โดยมีสัดส่วนหนี้สินต่อทุน(D/E) อยู่ที่ราว 0.68 เท่าในปี 56 และสัดส่วนหนี้เสียของลูกค้าผ่อนชำระอยู่ในระดับต่ำ ส่วนมูลค่าทางบัญชี(BV)ของบริษัทอยู่ที่ 1.80 บาท


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ