FPI เจรจาพันธมิตรในเอกวาดอร์ปูทางขยายตลาดอเมริกาใต้คาดสรุป 9 เดือน

ข่าวหุ้น-การเงิน Monday May 19, 2014 12:52 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายสมพล ธนาดำรงศักดิ์ กรรมการผู้จัดการ บมจ.ฟอร์จูน พาร์ท อินดัสตรี้(FPI) เปิดเผยว่า บริษัทอยู่ระหว่างศึกษาแผนร่วมลงทุนกับพันธมิตรในประเทศเอกวาดอร์ เพื่อสร้างโรงงานที่จะเป็นฐานการผลิตอะไหล่ชิ้นส่วนยานยนต์ในประเทศเอกวาดอร์ โดยคาดว่าจะได้ข้อสรุปภายใน 9 เดือน เพื่อขยายฐานลูกค้าในประเทศเอกวาดอร์ เปรู โคลัมเบีย ชิลี และโบลิเวีย ซึ่งถือเป็นการกระจายความเสี่ยงในการดำเนินธุรกิจ ขณะเดียวกันยังสามารถประหยัดต้นทุนการนำเข้าได้ถึง 40% ทำให้มีความได้เปรียบในการแข่งขัน

ทั้งนี้ หากการลงทุนกับพันธมิตรในเอกวาดอร์เกิดขึ้น สัดส่วนการถือหุ้นของ FPI คาดว่าจะอยู่ที่ 45-50% โดยจะมีการลงทุนเครื่องจักรและแม่พิมพ์ในปีแรกประมาณ 12 ตัว เบื้องต้นคาดว่าจะใช้เงินลงทุนประมาณ 1.2 ล้านดอลลาร์

“การขยายตลาดไปต่างประเทศจำเป็นต้องมีพันธมิตร เนื่องจากค่าใช้จ่ายในการลงทุนสูง และการที่เราร่วมทุนกับพันธมิตรในเอกวาดอร์จะช่วยลดต้นทุนในการขนส่ง (โลจิสติกส์)ถึง 15% และประหยัดต้นทุนนำเข้าถึง 40% เนื่องจากการขนส่งและภาษีนำเข้าค่อนข้างสูง ซึ่งหากมีการสร้างฐานการผลิตจะทำให้ช่วยลดต้นทุนได้ค่อนข้างมากถึง 55%"นายสมพล กล่าว

ด้านนางนุศรา ธนาดำรงศักดิ์ รองกรรมการผู้จัดการ กล่าวถึงแผนการดำเนินงานของบริษัทในปี 57 หาก warehouse แล้วเสร็จตามกำหนดในไตรมาส 3/57 จะตามแผนจะช่วยให้เดินเครื่องจักรได้อย่างเต็มที่ โดยคาดว่าอัตรากำลังการผลิตจะเพิ่มขึ้นเป็น 90% ซึ่งจะทำให้ต้นทุนการผลิตต่อหน่วยลดลง 10% และสามารถทำให้กำไรเพิ่มขึ้น

บริษัทตั้งเป้ารายได้ขยายตัวเพิ่มขึ้น 15% เมื่อเทียบกับปีก่อน ขณะเดียวกันยังเชื่อมั่นว่าหากบริษัทมีการลงทุนแม่พิมพ์ใหม่ๆ ก็จะทำให้รายได้เติบโตเพิ่มขึ้น นอกเหนือจากการขยายฐานลูกค้าในยุโรป และอเมริกา ปัจจุบัน บริษัทมีออเดอร์ในมือในส่วนของการรับงานโปรเจ็คให้กับค่ายรถยนต์ (OEM) ประมาณ 300-400 ล้านบาท ซึ่งถือว่าเป็นการรับงานที่สูงสุดของบริษัท และส่วนการผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ อะไหล่ทดแทน (REM) มีประมาณ 150 ล้านบาท/เดือน โดยในปีนี้บริษัทสามารถเพิ่มลูกค้าใหม่ได้อีก 3 ประเทศ รวมทั้งสิ้น 121 ประเทศ

นอกจากนั้น บริษัทยังตั้งเป้ารายได้เติบโต 15% ภายใน 3 ปี หากมีการใช้กำลังการผลิตเต็มที่ ขณะที่รายได้หลังหักต้นทุน(Gross Margin)ในปีนี้น่าจะสูงขึ้น ตามค่าเงินบาทที่อ่อนค่าลง ซึ่งคาดว่าค่าเฉลี่ยเงินบาทเมื่อเทียบกับดอลลาร์ในปีนี้น่าจะอยู่ที่ระดับ 32-33 บาท/ดอลลาร์ ซึ่งทำให้โอกาสเติบโตไม่ต่ำกว่า 15% ส่วนกำไรสุทธิหลังหักภาษี(NET Margin)คาดว่าจะเติบโต 3-5%


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ