และน่าจะกดดันแรงขายในหุ้นกลุ่มที่คาดว่าจะได้รับผลกระทบโดยตรง คือ ธุรกิจที่เกี่ยวข้องภาคท่องเที่ยว และลงทุนจากต่างประเทศ คือ FDI (ขนส่งทางอากาศ, นิคมอุตสาหกรรม) และ การบริโภคในประเทศ เช่น สื่อโฆษณา เป็นต้น
ประกาศใช้กฎอัยการศึกน่าจะกดดันกระแสเงินทุนกระแสเงินทุนต่างชาติ ยังคงไหลเข้ามาในภูมิภาคเอเซีย อย่างต่อเนื่อง และ เป็นวันที่ 5 โดยที่วานนี้นักลงทุนต่างชาติยังคงซื้อสุทธิหุ้นในภูมิภาค ราว 532 ล้านเหรียญฯ แต่ลดลง 20% จากวันก่อนหน้า ซึ่งเป็นการซื้อสุทธิในทุกประเทศ นำโดยอินโดนีเซียซื้อสุทธิ ติดต่อเป็นวันที่ 6 ราว 212 ล้านเหรียญฯ และ เพิ่มขึ้น 15% จากวันก่อนหน้า ตามมาด้วยไต้หวันซื้อสุทธิติดต่อกันเป็นวันที่ 5 ราว 154 ล้านเหรียญฯ เพิ่มขึ้นกว่าเท่าตัว ส่วนเกาหลีใต้ แม้ซื้อสุทธิต่อเนื่องเป็นวันที่ 5 แต่ลดลงถึง 68% เหลือราว 146 ล้านเหรียญฯ ขณะที่ไทยสลับมาซื้อสุทธิอีกครั้งราว 17 ล้านเหรียญฯ (544 ล้านบาท) และสุดท้ายคือ ฟิลิปปินส์ซื้อสุทธิเป็นวันที่ 5 แต่ลดลงถึง 85% จากวันก่อนหน้า เหลือราว 3 ล้านเหรียญฯ เท่านั้น
แม้ว่าว่าแนวโน้มเงินทุนจากต่างชาติยังคงไหลเข้าภูมิภาค แต่เชื่อว่าในระยะสั้นการประกาศกฎอัยการศึกน่าจะเป็นประเด็นกดดันตลาด และทำให้นักลงทุนกลุ่มนี้มีโอกาสขายสุทธิออกมาเพิ่มเติม หลังจากซื้อสุทธิจากต้นปีจนถึงวานนี้ราว 2.8 หมื่นล้านบาท แต่อย่างไรก็ตามแรงขายอาจจะไม่มากนักเนื่องจากในระยะหลังนักลงทุนกลุ่มนี้ซื้อสุทธิเพียงเบาบางเท่านั้น (13% ของยอดขายในรอบที่ผ่านมา ซึ่งน้อยมากเมื่อเทียบกับอินโดนีเซียและฟิลิปปินส์) แต่มีความเสียงจากนักลงทุนสถาบันที่ซื้อสุทธิติดต่อกันถึง 6 วันหลังสุดรวม 8.5 พันล้านบาท ทำให้อาจมีการขายทำกำไรออกมากดดันตลาดหุ้นได้