ขณะที่รายได้ในปี 57 ตั้งเป้าไว้ที่ 4 พันล้านเหรียญสหรัฐ สูงกว่าปีก่อนที่มีรายได้ 3.66 พันล้านเหรียญสหรัฐ ส่วนในปี 58 ตั้งเป้ารายได้แตะ 5 พันล้านเหรียญสหรัฐ และเพิ่มเป็น 8 พันล้านเหรียญสหรัฐในปี 63
นายธีรพงศ์ กล่าวว่า ในปีนี้บริษัทได้รับอานิสงส์จากเงินบาทอ่อนค่า โดยตั้งแต่ต้นปีจนถึงขณะนี้เงินบาทแกว่งตัวที่ 32.30-32.60 บาท/ดอลลาร์ ประกอบกับ ราคาทูน่าปรับตัวลงจากปีก่อนที่ขึ้นไปสูงเฉลี่ย 1,950 เหรียญสหรัฐ/ตัน แต่ปีนี้ราคาปรับลดลงมาต่ำสุดในเดือน เม.ย.57 ที่ 1,200 เหรียญสหรัฐ/ตันและขณะนี้ปรับขึ้นมากว่า 1,250 เหรียญสหรัฐ/ตัน
รวมทั้งปีนี้บริษัทเน้นการเพิ่มประสิทธิภาพการทำกำไร โดยธุรกิจอาหารสัตว์ในสหรัฐจะกลับมามีกำไรในช่วงครึ่งปีหลังหลังมีผลขาดทุนมากในปีที่แล้ว ด้วยการเน้นขายสินค้าที่ทำกำไร และการทำแบรนด์ในต่างประเทศ อีกทั้งเน้นการสร้างกระแสเงินสด ขณะที่งบลงทุนในปีนี้ก็ลดลงมาที่ 3.5 พันล้านบาท เพราะไม่มีแผนเพิ่มกำลังการผลิตใหม่ในช่วงปี 57-58
ทั้งนี้ ในไตรมาส 1/57 บริษัทมีรายได้จากสินค้าแบรนด์เนมของตัวเอง สัดส่วน 41% และสินค้า OEM สัดส่วนที่ 59% โดยปีนี้คาดว่าสัดส่วนรายได้จากสินค้าแบรนด์เนมเพิ่ม 42% ซึ่งสินค้าทั้งสองจะเติบโต และในปีนี้ "Chicken of The Sea"ผลิตภัณฑ์ทูน่าประป๋องในสหรัฐครบรอบ 100 ปี ก็จะมีการทำกิจกรรมตลาดด้วย และให้ความสำคัญสินค้าใหม่ในทุกตลาด เน้นนวัตกรรมใหม่สร้างความแตกต่างของสินค้าเพื่อเพิ่มสินค้ามีมูลค่าเพิ่มและเพิ่มมาร์จิ้นธุรกิจให้ได้ดีต่อเนื่อง
นายธีรพงศ์ คาดว่ารายได้และกำไรในไตรมาส 2/57 จะเติบโตกว่าไตรมาส 1/57 ที่มีรายได้ในรูปเงินบาทเติบโต 14.3% และมีกำไรสุทธิ 950 ล้านบาท ส่วนไตรมาส 2/56ซึ่งปกติจะเป็นไตรมาสที่เติบโตต่ำสุด แต่ขณะนี้เงินบาทก็ยังอ่อนค่าต่อเนื่อง น่าจะช่วยสนับสนุนผลประกอบการ
"ทุก category ไปได้ดี ผลการดำเนินงานที่เข้มแข็ง รายได้เติบโตมากขึ้น เราเน้นทำกำไร Earning ปีนี้น่าจะเพิ่มอย่างมีสาระสำคัญ"นายธีรพงศ์ กล่าว
แม้ว่าในปีนี้ผลผลิตกุ้งยังไม่ค่อยดี เนื่องจากผลกระทบโรคอีเอ็มเอสยังไม่หมดไป จึงคาดว่าปีนี้ผลผลิตกุ้งในไทยเติบโต 10-20% เป็น 3 แสนตันจากปีก่อนอยู่ที่ 2.5 แสนตัน และยังต้องรอดูสถานการณ์ในครึ่งปีหลัง จากเดิมผลผลิตกุ้งในไทยเคยสูงถึง 5 แสนตัน
นอกจากนี้ ในปีนี้ตั้งเป้าลดอัตราส่วนหนี้สินสุทธิต่อทุน (Net D/E) มาที่ 0.73-0.75% จากสิ้นปี 56 ที่ 0.92% โดยในไตรมาส 1/57 ลดลงมาอยู่ที่ 0.83% จะทำให้สถานะการเงินเข้มแข็งมากขึ้น มาจากการลดหนี้และจากกำไรบริษัท ทั้งนี้ในครึ่งปีหลังบริษัทจะคืนหนี้ 3.5 พันล้านบาท ซึ่งเป็นหุ้นกู้ที่ครบกำหนดไถ่ถอน โดยบริษัทเตรียมเงินไว้แล้วจากการออกหุ้นกู้เมื่อต้นปี และบริษัทได้ปรับสัดส่วนหนี้ระยะสั้นและระยะยาวจาก 80% ต่อ 20% มาเป็น 60% ต่อ 40% ในปัจจุบัน
นายธีรพงศ์ กล่าวว่า บริษัทไม่ได้รับผลกระทบโดยตรงจากปัจจัยการเมืองในประเทศ เพราะรายได้ส่วนใหญ่เป็นการส่งออก 90% ตลาดหลัก ได้แก่ สหรัฐ 43% ยุโรป 30%ญี่ปุ่น 5% ส่วนไทย 7% ที่เหลือกระจายภูมิภาคอื่น และบริษัทยังเตรียมโรดโชว์ โดยเน้นการฟื้นตัวของธุรกิจในปีนี้ และคาดว่าจะโชว์ผลประกอบการอีก 2 ไตรมาสเชื่อว่าจะสร้างความมั่นใจให้กับนักลงทุน ปัจจุบันสัดส่วนนักลงทุนต่างชาติประมาณ 40% จากที่สัดส่วนต่ำสุดที่ 30% ต้นๆ