โดยฝูงบินในปัจจุบันของนกแอร์มีเครื่องบินโบอิ้ง 737-800 จำนวน 15 ลำและเครื่องบิน ATR 72-500 จำนวน 2 ลำและตามแผนขยายฝูงบิน นอกจากคำสั่งซื้อ โบอิ้ง Next และโบอื้ง 737 MAX รวม 15 ลำแล้ว ยังสั่งเครื่องบินบอมบาร์ดิเอร์ Q400 NextGen จำนวน 6 ลำ ซึ่งเป็นไปตามกลยุทธ์การพัฒนาฝูงบินและรักษาประสิทธิภาพในการดำเนินงานของนกแอร์โดยเฉพาะการประหยัดเชื้อเพลิงและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน
นายคริสโตเฟอร์ เจ.ฟลินท์ ผู้อำนวยการฝ่ายขาย ประจำภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก บริษัท โบอิ้ง คอมเมอร์เชียล แอร์เพลน กล่าวว่า โบอิ้งได้พัฒนาเครื่องบินรุ่น N G 737 และโบอิ้ง 737 MAX ให้สามารถประหยัดเชื้อเพลิงได้ถึง 14% เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ลดมลภาวะทางเสียงได้ 40% และลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนได้ถึง 14% ซึ่งจะช่วยให้สายการบินประหยัดค่าใช้จ่ายลงได้มาก ซึ่งนกแอร์เป็นลูกค้ารายที่ 40 ของโบอิ้ง 737 MAX จะช่วยทำให้สายการบินประหยัดค่าใช้จ่ายลงได้มาก โดยจะลดต้นทุนการดำเนินงานรวมได้ 8% เมื่อเทียบกับเครื่องบินประเภทเดียวกัน และเชื่อว่าจะทำใหัลูกค้าของนกแอร์ประทับใจในบริการ
โดยปัจจุบันโบอิ้งมีคำสั่งซื้อรุ่น 737 MAX แล้วจำนวน 2,017 ลำ จากลูกค้า 40 ราย โดยถือเป็นเครื่องบินรุ่นที่มีเทคโนโลยีเครื่องยนต์ทันสมัย และได้รับความนิยมสูงครองส่วนแบ่งการตลาดสำหรับเครื่องบินแบบทางเดินเดียวถึง 50% โดยมีศักยภาพในการผลิตได้ 42 ลำต่อเดือนและจะเพิ่มเป็น 47 ลำต่อเดือน ตั้งแต่ปี 60 เป็นต้นไป
อย่างไรก็ตาม ตลาดการบินในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มีการเติบโตสูง โดยประเมินว่าในรอบ 20 ปีจะเติบโตถึง 6.7% ดังนั้นจะมีความต้องการเครื่องบินรุ่นใหม่ๆ เพิ่มขึ้นด้วย