สมาคมตลาดตราสารหนี้ไทย (ThaiBMA) สรุปภาวะตลาดตราสารหนี้ไทยวันนี้มีมูลค่าการซื้อขายรวม 68,036 ล้านบาท โดยประเภทของตราสารที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงที่สุด คือ พันธบัตรธนาคารแห่งประเทศไทย โดยมีมูลค่าการซื้อขายเท่ากับ 47,003 ล้านบาท หรือคิดเป็นสัดส่วน 69.1% ของมูลค่าการซื้อขายทั้งหมดที่เกิดขึ้นในวันนี้ ลำดับถัดมาคือ พันธบัตรรัฐบาล มีมูลค่าการซื้อขายเท่ากับ 15,091 ล้านบาท หรือคิดเป็นสัดส่วน 22.2% ทางด้าน หุ้นกู้เอกชน มีมูลค่าการซื้อขายเท่ากับ 2,721 ล้านบาท หรือคิดเป็น 4.0% ของมูลค่าการซื้อขายทั้งหมด
สำหรับ พันธบัตรรัฐบาล รุ่นที่นิยมซื้อขายสูงสุดในวันนี้คือ พันธบัตรรุ่น LB196A, LB176A และ LB21DA (รุ่นอายุ 5.1 ปี, 3.1 ปี และ 7.6 ปี ตามลำดับ) โดยมีมูลค่าการซื้อขายรวมกัน 9,703 ล้านบาท หรือคิดเป็น 64% ของมูลค่าการซื้อขายพันธบัตรรัฐบาลทั้งหมด ทางด้าน หุ้นกู้เอกชน รุ่นที่นิยมซื้อขายสูงสุด 3 อันดับแรกในวันนี้ คือ
1. หุ้นกู้ของบริษัท ทางด่วนกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) (BECL18NA) มูลค่า 310.7 ล้านบาท
2. หุ้นกู้ บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) (THAI155A) มูลค่า 306.8 ล้านบาท
3. หุ้นกู้มีประกันของบริษัท โตโยต้า ลีสซิ่ง(ประเทศไทย) จำกัด (TLT155A) มูลค่า 237.7 ล้านบาท
โดยมีมูลค่าการซื้อขายรวมกัน 855.2 ล้านบาท หรือคิดเป็น 31.4% ของมูลค่าการซื้อขายหุ้นกู้เอกชนทั้งหมดในวันนี้
ทางด้านประเภทของนักลงทุน ที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงที่สุดเป็น 2 อันดับแรกในวันนี้ คือ
1. กลุ่มบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) มียอดขายสุทธิ เท่ากับ -433 ล้านบาท
2. กลุ่มสถาบันการเงินที่ไม่มีใบอนุญาตเพื่อค้าตราสารหนี้ มียอดซื้อสุทธิ เท่ากับ 2,072 ล้านบาท
ในขณะที่นักลงทุนต่างชาติ มียอดซื้อสุทธิ เท่ากับ 2,053 ล้านบาท
ผลตอบแทนของพันธบัตรรัฐบาลอายุ 3 เดือน ปิดที่ 2.03% ไม่มีการเปลี่ยนแปลงจากเมื่อวาน และผลตอบแทนของพันธบัตรรัฐบาลอายุ 5 ปี ปิดที่ 3% ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากเมื่อวาน 0.03%
Yield Curve ปรับเพิ่มขึ้น ในพันธบัตรรุ่นอายุ 5-20 ปี ประมาณ 1-2 bps. ในทิศทางเดียวกับ US Treasury นักลงทุนยังคงกังวลเกี่ยวกับปัญหาการเมืองในประเทศภายหลังประกาศกฎอัยการศึก ด้านปัจจัยต่างประเทศนักลงทุนจับตาตัวเลขเศรษฐกิจของสหรัฐฯ และถ้อยแถลงของประธาน Fed คืนนี้ ว่าจะมีการส่งสัญญาณเกี่ยวกับการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายหรือไม่ หลังจากตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯที่ทยอย ประกาศออกมา แสดงถึงการเติบโตอย่างต่อเนื่อง สำหรับนักลงทุนต่างชาติ มียอดซื้อสุทธิ (NET BUY) เท่ากับ 2,053 ล้านบาท