ส่วนโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลม “โบโค ร็อค วินด์ฟาร์ม" ในประเทศออสเตรเลีย ดำเนินการก่อสร้างแล้วเสร็จประมาณร้อยละ 48 คาดว่าจะเริ่มเดินเครื่องเชิงพาณิชย์ในเดือน ก.พ.58 โครงการโรงไฟฟ้า“ขนอมหน่วยที่ 4" จังหวัดนครศรีธรรมราช ดำเนินการก่อสร้างแล้วเสร็จประมาณร้อยละ 29 คาดว่าจะเริ่มเดินเครื่องเชิงพาณิชย์ในเดือน มิ.ย.59 และโครงการโรงไฟฟ้าพลังน้ำแบบฝายน้ำล้น“ไซยะบุรี"ใน สปป.ลาว ดำเนินการก่อสร้างแล้วเสร็จประมาณร้อยละ 23 คาดว่าจะเริ่มเดินเครื่องเชิงพาณิชย์ในเดือน ต.ค.62
นอกจากนี้ ยังมีโครงการที่อยู่ระหว่างการพัฒนาในประเทศ 4 โครงการ ประกอบด้วยโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลม “ชัยภูมิวินด์ฟาร์ม"จังหวัดชัยภูมิ ซึ่งอยู่ระหว่างการคัดเลือกผู้รับเหมาก่อสร้างโรงไฟฟ้า คาดว่าจะเริ่มเดินเครื่องเชิงพาณิชย์ในเดือน ธ.ค.59 รวมทั้งโครงการผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็ก (SPP) 3 โครงการ ได้แก่ โครงการ“ทีพี โคเจน"และ “เอสเค โคเจน"จังหวัดราชบุรี ซึ่งอยู่ระหว่างการทำรายงานศึกษาผลกระทบสิ่งแวดล้อม และเตรียมการด้านวิศวกรรมและจัดหาเครื่องจักรเพื่อพัฒนาโครงการคาดว่าจะเริ่มเดินเครื่องเชิงพาณิชย์ในเดือน ก.พ.60 และโครงการ “ทีเจ โคเจน"จังหวัดปทุมธานีซึ่งอยู่ระหว่างการทำสัญญาซื้อขายไฟฟ้าและไอน้ำกับลูกค้าอุตสาหกรรม และการคัดเลือกผู้รับเหมาก่อสร้างโรงไฟฟ้าคาดว่าจะเริ่มเดินเครื่องเชิงพาณิชย์ในเดือนมิ.ย.60
“ในไตรมาสแรกนี้ เอ็กโก กรุ๊ปใช้เงินลงทุนในโครงการที่กำลังก่อสร้างกว่า 3,800 ล้านบาท จากงบลงทุนที่เตรียมไว้ทั้งปีกว่า 18,000 ล้านบาท เรายังคงมุ่งรักษาระดับรายได้อย่างต่อเนื่อง โดยรักษาอัตราผลตอบแทนผู้ถือหุ้น(ROE) อย่างน้อยร้อยละ 10 และให้ความสำคัญกับการขยายการลงทุนในธุรกิจไฟฟ้าเป็นหลัก ทั้งในประเทศไทยและภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกโดยมุ่งเน้นการซื้อสินทรัพย์ที่เดินเครื่องแล้วเพื่อช่วยให้บริษัทฯ รับรู้รายได้ทันทีในขณะเดียวกันก็ยังแสวงหาโอกาสการลงทุนในโครงการที่เริ่มตั้งแต่การก่อสร้าง(Greenfield)เพื่อสร้างรายได้ในระยะยาว สำหรับโครงการที่อยู่ระหว่างการก่อสร้างและพัฒนาเรามั่นใจว่าจะสามารถก่อสร้างและจ่ายไฟฟ้าเข้าระบบได้ตามเวลาที่กำหนดไว้ โดยจะมีโรงไฟฟ้าที่สามารถเดินเครื่องเชิงพาณิชย์ได้อย่างน้อยปีละ 1 โรง ซึ่งจะช่วยเพิ่มรายได้ให้บริษัทฯ และทดแทนรายได้ของโรงไฟฟ้าที่กำลังจะหมดอายุสัญญาลง" นายสหัส กล่าวสรุป
ปัจจุบัน เอ็กโก กรุ๊ป มีโรงไฟฟ้าทั้งในและต่างประเทศที่เดินเครื่องเชิงพาณิชย์แล้ว จำนวน20 แห่ง คิดเป็นปริมาณพลังไฟฟ้าตามสัญญาซื้อขายและตามสัดส่วนการถือหุ้นประมาณ 4,518 เมกะวัตต์และมีโครงการที่อยู่ระหว่างการก่อสร้างและพัฒนา จำนวน8 โครงการ คิดเป็นปริมาณพลังไฟฟ้าตามสัญญาซื้อขายและตามสัดส่วนการถือหุ้นประมาณ 1,613 เมกะวัตต์
อนึ่ง ผลการดำเนินงานไตรมาส 1/57 มีกำไรสุทธิจำนวน 2,318ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน จำนวน 110 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 5 ผลประกอบการที่เพิ่มขึ้นเป็นผลมาจากกำไรที่เพิ่มขึ้นของโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ที่ก่อสร้างเสร็จและจ่ายไฟฟ้าเข้าระบบ จำนวน 6โรง เมื่อปลายปีที่แล้วและกำไรที่เพิ่มขึ้นของโรงไฟฟ้าน้ำเทิน 2 ใน สปป.ลาว อ
ย่างไรก็ตาม หากดูผลประกอบการก่อนผลกระทบจากอัตราแลกเปลี่ยน (FX) และภาษีเงินได้รอการตัดบัญชี ธุรกิจผลิตไฟฟ้ามีกำไรลดลงจากปีก่อน จำนวน 147 ล้านบาท โดยมีสาเหตุหลักมาจากรายได้ค่าไฟฟ้าจากค่าความพร้อมจ่าย (AP) ที่ลดลงของโรงไฟฟ้าระยอง โรงไฟฟ้าขนอม และโรงไฟฟ้ากัลฟ์ เพาเวอร์ เจเนอเรชั่น ซึ่งเป็นไปตามที่กำหนดไว้ในสัญญาซื้อขายไฟฟ้า