“หลังทหารออกมาทำรัฐประหาร ดัชนีตลาดหุ้นไทยผันผวนระยะสั้น เพราะจะทำให้ทุกอย่างจะมีความชัดเจนมากขึ้น หากการเมืองสงบ ซึ่งจะทำให้ตลาดหุ้นในช่วงครึ่งปีหลังฟื้นตัว แต่การฟื้นตัวยังอยู่ในกรอบจำกัด เพราะภาพรวมเศรษฐกิจไทยในปีนี้มีแนวโน้มชะลอตัวจากปัญหาการเมืองที่เกิดขึ้นตั้งแต่ปลายปีที่ผ่านมา ซึ่งส่งผลกระทบกับผลกำไรของบริษัทจดทะเบียนในปีนี้"นายรณกฤต กล่าว
นายรณกฤต กล่าวว่า คาดว่าดัชนีตลาดหุ้นไทยในช่วงครึ่งปีหลังของปีนี้ มีโอกาสขึ้นไปทดสอบระดับ 1,500 จุดได้ โดยพี/อี อยู่ที่ 16 เท่า ภายใต้เงื่อนไขสถานการณ์การเมืองคลี่คลาย ไม่มีการชุมนุมทางการเมือง และมีการจัดการเลือกตั้ง มีรัฐบาลที่มีอำนาจเต็มเข้ามาบริหารประเทศ เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจ กระตุ้นการลงทุน โดยคาดว่ากำไรของบริษัทจดทะเบียนจะขยายตัวประมาณ 5% เทียบกับปีก่อน
อย่างไรก็ตาม หากการเมืองไม่นิ่ง มีการชุมนุมคัดค้านอย่างต่อเนื่อง จนไม่สามารถจัดให้มีการเลือกตั้ง หรือมีรัฐบาลที่มีอำนาจเต็มเข้ามาบริหารประเทศ ดัชนีก็มีโอกาสปรับตัวลดลงมาทดสอบแนวรับที่ระดับ 1,320 จุด ซึ่งถือเป็นจุดที่น่าเข้าลงทุน เนื่องจาก P/E อยู่ที่ 14 เท่า
สำหรับปัจจัยเสี่ยงการลงทุนในช่วงครึ่งปีหลัง นายรณกฤต มองว่า ปัญหาการเมืองในประเทศยังคงเป็นประเด็นที่ต้องติดตาม ว่าท้ายที่สุดแล้วจะสามารถจัดให้มีการเลือกตั้ง หรือมีรัฐบาลที่มีอำนาจเต็มเข้ามาบริหารประเทศ เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจ ที่ขณะนี้มีแนวโน้มชะลอตัวอย่างชัดเจนได้หรือไม่ ขณะเดียวกันปัจจัยต่างประเทศ กรณีที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ที่ขณะนี้มีการลดขนาดคิวอีอย่างต่อเนื่องตามแผน จะมีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในช่วงใด ซึ่งจะเป็นอีกหนึ่งตัวแปรที่กดดันการลงทุนตลาดหุ้นไทย
หุ้นขนาดใหญ่ที่แนะนำให้ลงทุนในช่วงครึ่งปีหลัง ประกอบด้วย PTTGC ถือเป็นหุ้นกลุ่มพลังงานที่มีความโดดเด่นในขณะนี้ ซึ่งคาดว่า แนวโน้มผลประกอบการในช่วงไตรมาส 2 จะฟื้นตัว ส่วนหุ้นในกลุ่มแบงก์ แนะนำ KBANK เนื่องจากมีศักยภาพโดดเด่น และ INTUCH ซึ่งเป็นหุ้นที่มีการจ่ายเงินปันผลในอัตราที่สูง และราคาปรับตัวลดลงค่อนข้างมาก หุ้นขนาดกลาง แนะนำ CPF ซึ่งคาดว่าผลประกอบการในปีนี้จะออกมาโดดเด่นมากเมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา CPN ก็ถือเป็นอีกหนึ่งตัวที่มีการเติบโตอย่างแข็งแกร่ง และราคาปรับตัวลดลงมาก ส่วนหุ้นขนาดเล็ก แนะนำ CSS MJD และ SPALI ซึ่งถือเป็นที่มีความโดดเด่นและมีศักยภาพ ขณะที่หุ้นในตลาด mai แนะเข้าลงทุน TVD และ SUTHA