ส่วนกำไรปกติในปีนี้ประเมินไว้ที่ประมาณ 100-125 ล้านบาท โดยบริษัทยังคงเป้าหมายรายได้ปีนี้เติบโต 15% หรือทำรายได้ทะลุ 2,500 ล้านบาท จากปี 56 ที่มีรายได้ 2,231.25 ล้านบาท ขณะที่อัตรากำไรสุทธิ (Net Profit Margin) ในปีนี้เชื่อว่าจะทำได้ 4.5-5.5% ตามเป้าหมายที่วางไว้ เนื่องจากบริษัทมีร้านค้าปลีกถึง 77 สาขาใน 40 จังหวัด รวมทั้ง มีช่องทางจำหน่ายสินค้าผ่านโมเดิร์นเทรด ทั้ง บิ๊กซี, เทสโก้โลตัส , แมคโคร, ท้อป ซุปเปอร์มาร์เก็ต , เซเว่น อีเลฟเว่น ขณะเดียวกัน ยังมีการวางแผนการเติบโตด้วยการลงทุนธุรกิจใหม่อย่างต่อเนื่อง
บริษัทมองแนวโน้มผลประกอบการไตรมาส 2/57 คาดว่ารายได้และกำไรจะเติบโตต่อเนื่องจากไตรมาส 1/57 ที่มีกำไรสุทธิ 25.59 ล้านบาท และรายได้กว่า 642.69 ล้านบาท เนื่องจากสินค้าของบริษัทมีความหลากหลายและมีคุณภาพ รวมทั้งมีการบริหารต้นทุนสินค้าที่ดี มีจุดจำหน่ายสินค้าที่ทำให้ลูกค้าได้รับสินค้าได้เร็วขึ้น นอกจากนี้ ยังเตรียมแผนออกสินค้าใหม่อย่างต่อเนื่อง
ขณะที่บริษัท ทีวีไดเร็ค อินโดไชน่า จำกัด ที่เข้าลงทุน 4 ประเทศ ประกอบด้วย บริษัท ทีวีไดเร็ค (ลาว) จำกัด บริษัท ทีวีไดเร็ค (มาเลเซีย) จำกัด บริษัท ทีวี ดีไอ (เวียดนาม) จำกัด และบริษัท ไดเร็ท เรสพร้อนท์ (กัมพูชา) ในปีนี้ทุกบริษัทมีผลประกอบการเติบโตต่อเนื่อง โดยเฉพาะมาเลเซีย ที่เป็นอันดับหนึ่งของ Home Shopping ท้องถิ่น
"ไตรมาส 2 นี้เรายังคงเฝ้าดูสถานการณ์ไปก่อน คงยังไม่มีการลงทุนอะไรเพิ่ม มองเศรษฐกิจไทยปีนี้น่าจะฟื้นตัวได้ จากที่ห้างสรรพสินค้าชั้นนำเริ่มเปิดตัวขยายช่องทางการจำหน่ายมากขึ้น เราก็จะมีการขยายช่องทางอย่างต่อเนื่องเช่นกัน ซึ่งเราน่าจะปรับตัวดีขึ้นในช่วงครึ่งปีหลังได้ โดยเรายังคงเป้าหมายรายได้ไว้ 15% ซึ่งคาดว่าจะทะลุ 2,500 ล้านบาทได้ หรืออยู่ที่ราว 2,700 ล้านบาท แต่ต้องรอดูสถานการณ์ก่อน ซึ่งน่าจะมีความชัดเจนมากขึ้น"นายทรงพล กล่าว
นายทรงพล กล่าวว่า บริษัทตั้งเป้าหมายอัตรากำไรสุทธิ (Net profit margin)ในอีก 5 ปีข้างหน้า(ปี 58-62)ไว้ที่ระดับ 6-8% จากยอดขายธุรกิจ Home Shopping เป็นหลัก จากปีนี้ตั้งเป้าอยู่ที่ 4.5-5.5%
ทั้งนี้ บริษัทฯยังอยู่ระหว่างการเจรจาเข้าซื้อกิจการ (M&A) ธุรกิจในประเทศประเภทธุรกิจบริการ ซึ่งมีมูลค่าธุรกิจประมาณ 200-250 ล้านบาท คาดว่าจะสามารถสรุปได้ในช่วงปลายไตรมาส 3 ถึงต้นไตรมาส 4 ของปีนี้ โดยขณะนี้กำลังอยู่ในขั้นตอนการเจรจาในสัดส่วนการเข้าไปถือหุ้น ขณะที่บริษัทมีแผนรุกธุรกิจโบรกเกอร์ประกันภัยและประกันชีวิต โดยอยู่ระหว่างการรอใบอนุญาตขายผ่านช่องทางโทรทัศน์เพิ่ม จากที่มีการขายผ่าน Call canter แล้วและคาดว่าจะมีจำนวนพนักงานขายเพิ่มขึ้นเป็น 200 คนในไตรมาส 3/57 จากปัจจุบันมีพนักงานขายผ่านโทรศัพท์(Telesale)จำนวน 120 คน
ส่วนสถานการณ์ทางการเมืองนั้น บริษัทไม่ได้รับผลกระทบมากนัก และมองว่าเรื่องดังกล่าวน่าจะจบได้ในระยะสั้นนี้ ขณะที่จากการนำเงินไปจ่ายให้ชาวนาในโครงการจำนำข้าวจะส่งผลให้เกิดสภาพคล่องเข้าสู่ระบบ และจะทำให้เกิดการใช้จ่ายของประชาชนกลับเข้าสู่สมดุลได้