กองทุนดังกล่าวเป็นกองทุน Specific fund โดยกองทุนจะพิจารณาลงทุนใน ตราสารแห่งหนี้ ตราสารทางการเงินและ/หรือ เงินฝากของภาครัฐและภาคเอกชน ทั้งในประเทศและต่างประเทศ อาทิ เงินฝากธนาคารต่างประเทศสกุลเงิน USD, CNY, HKD, EUR, JPY กับธนาคาร BOC (Macau), Standard Chartered Bank (Hong Kong), ธนาคาร CIMB Niaga (Indonesia) หรือเงินฝากสกุลเงิน AED ธนาคาร Abu Dhabi Commercial Bank, UAE (F1), ธนาคาร Union National Bank, UAE(P-1),
ตั๋วเงินหรือเงินฝากธนาคารพาณิชย์ในประเทศ, ตั๋วแลกเงิน บมจ.ดั๊บเบิ้ล เอ (1991) (BBB), ตั๋วแลกเงิน บมจ.เอเซียเสริมกิจ ลีสซิ่ง(BBB+), บมจ.มั่นคงเคหะการ (BBB+), ตั๋วแลกเงิน บมจ.ราชธานีลิสซิ่ง (BBB+), บจ.บีเอสแอล ลีสซิ่ง(BBB) หรือ ตราสารหนี้ภาคเอกชนที่มีอันดับความน่าเชื่อถือตั้งแต่ BBB ขึ้นไป, ตั๋วเงินคลัง หรือ พันธบัตรธนาคารแห่งประเทศไทย เป็นต้น
สำหรับรอบการลงทุนของการสั่งซื้อหน่วยลงทุนครั้งที่ 2 อัตราผลตอบแทนโดยประมาณเท่ากับ 2.75% ต่อปี ซึ่งคำนวณจากการลงทุน สำหรับรอบระยะเวลาประมาณ 3 เดือน
บลจ.ฟินันซ่า ประเมินว่าสถานการณ์ในประเทศยังคงมีความไม่แน่นอน แต่มีแนวโน้มไปในทางที่ดีขึ้นหลังจากเหตุการณ์รัฐประหารวันที่ 22 พฤษภาคม 57 โดยคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) ซึ่งมี พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นหัวหน้าคณะฯ มีผลทำให้ตลาดหุ้นปรับตัวลดลงเล็กน้อยเพียง 1% ขณะที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรปรับตัวเพิ่มขึ้น 4-8 bps(Basis Point) เนื่องจากแรงขายของนักลงทุนต่างชาติ แม้ปัจจุบันจะยังคงมีการชุมนุมต่อต้านรัฐประหารบ้าง แต่ คสช. สามารถควบคุมสถานการณ์ไว้ได้ ทำให้ภาพโดยรวมยังคงมีความสงบเรียบร้อย โดยคสช.ได้ออกแนวทางการบริหารงานก่อนจะให้มีการเลือกตั้ง ซึ่งมีการหารือกับผู้เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐและเอกชน เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับชาวต่างชาติ และภาคเอกชนและให้เศรษฐกิจเดินหน้าต่อไปได้
"ในสถานการณ์ที่ยังไม่แน่นอนการพักเงินเพื่อรับผลตอบแทนกับกองทุนตราสารหนี้ประเภทครบกำหนดอายุโครงการ เพื่อรอดูทิศทางที่ชัดเจนทางการเมือง และเศรษฐกิจในประเทศ จึงเป็นกลยุทธ์ที่เหมาะสมสำหรับผู้ที่รับความเสี่ยงได้น้อย"นายสุรสีห์ กล่าว