นายเย็บ ซู ชวน ประธานและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร AH กล่าวว่า บริษัทปรับลดเป้ารายได้จากที่ช่วงต้นปีเคยมองว่ารายได้อาจจะลดลงราว 5-10% จากปีก่อนที่มีรายได้ 1.6 หมื่นล้านบาท โดยขณะนี้คาดว่ารายได้อาจจะลดลงถึง 10-15% หลังจากประเมินว่าภาพรวมอุตสาหกรรมรถยนต์ในปีนี้จะชะลอตัวราว 10% ตามภาวะเศรษฐกิจของประเทศ
รวมถึงได้รับกระทบจากสถานการณ์การทางการเมืองที่ทำให้การสนับสนุนจากภาครัฐโครงการต่างๆของอุตสาหกรรมยานยนต์ต้อง โดยเฉพาะอีโคคาร์ ชะงักไป แม้ว่าภาคการส่งออกของอุตสาหกรรมยานยนต์ยังเติบโตได้ แต่เมื่อเทียบกับปีก่อนแล้วยังอยู่ในระดับที่ต่ำพอสมควร แต่อย่างไรก็ตาม มองว่าภาพรวมทางเศรษฐกิจจะเริ่มฟื้นตัวได้ดีในช่วงครึ่งปีหลังนี้ จากที่มีคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.)เข้ามาช่วยผลักดันให้นโยบายต่างๆ ขับเคลื่อนไปได้
ขณะที่ในแง่ของกำไรคาดว่าอาจจะลดลงในอัตราที่มากกว่ารายได้ ซึ่งบริษัทใช้กลยุทธ์การลดต้นทุน และลดปริมาณการใช้บุคลากร รวมถึงการเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิต โดยในปีนี้ได้ตั้งงบลงทุนไว้ราว 500-600 ล้านบาทใช้ในการปรับปรุงเครื่องจักรและซื้อเครื่องจักรใหม่ ซึ่งก็ยังคงเดินหน้าต่อไป
"ภาพรวมปีนี้มองว่ารายได้จะลดลงเป็น 10-15% และกำไรก็จะลดลงตามรายได้ที่ลดลง เนื่องจากอีโคคาร์ไม่มี ซึ่ง 6 เดือนที่ผ่านมา ไม่มีใครได้ทำอะไรเลย แต่ขณะนี้ที่มีรัฐบาลทหารเข้ามาจะส่งผลดีต่อนโยบายผลักดันโครงการต่างๆ ให้เดินหน้าไปได้ ทั้งโครงการใหม่และโครงการเดิมที่ถูกระงับไป เราก็จะมีการผลิตชิ้นส่วนรถยนต์ได้เพิ่มขึ้น โดยมองว่าไตรมาส 3 ถึงไตรมาส 4 นี้น่าจะมีโอกาสที่คนจะมีเงินออกมาจับจ่ายมากขึ้น"นายเย็บ ซู ชวน กล่าว
นายเย็บ ชู ชวน กล่าวว่า บริษัทยังเดินหน้าการหาพันธมิตรในต่างประเทศเพื่อทำโครงการร่วมทุน คือ ประเทศจีน อินเดีย อินโดนีเซีย และมาเลเซีย ซึ่งมองว่าเป็นประเทศที่ยังมีศักยภาพในการเติบโต นอกเหนือจากที่บริษัทฯได้มีความร่วมมือกับพันธมิตรจากญี่ปุ่นและโปรตุเกสไปแล้วก่อนหน้านี้
"เรายังมีแผนการออกไปสร้างโรงงานในต่างประเทศ เพื่อกระจายความเสี่ยงในประเทศ แต่ยืนยันว่าจะไม่มีการย้ายฐานการผลิตแน่นอน เนื่องด้วยประเทศไทยมีบุคคลากรที่มีคุณภาพ มีทรัพยากรที่ดี มีการผลิตรถยนต์ได้มากที่สุด โดยในอีก 10-20 ปี ต่างชาติที่ได้ลงทุนในไทยยังไงก็ยังคงใช้ไทยเป็นฐานการผลิตหลัก"ประธานและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร AH กล่าว