ทั้งนี้ คาดว่าการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญนี้ จะเริ่มส่งผลดีต่อยอดขายและผลกำไรของบริษัทฯ อย่างเต็มที่ในครึ่งปีหลัง ซึ่งจะทำให้ผลประกอบการโดยรวมของปีนี้เติบโตดีขึ้นเป็นอย่างมาก ขณะเดียวกัน บริษัทฯ ยังได้รับอานิสงส์เพิ่มเติมจากธุรกิจในกัมพูชา ที่ได้ผ่านพ้นจุดคุ้มทุนตั้งแต่สิ้นเดือนมีนาคมที่ผ่านมา และเริ่มทำผลกำไรอย่างเป็นกอบเป็นกำนับจากนี้ไป
นายมิทซึจิ ชี้แจงว่า ตลอดช่วงเศรษฐกิจชะลอตัวที่ผ่านมา บริษัทฯ ยังรุกเดินหน้าขยายธุรกิจเพื่อผลักดันยอดขายอย่างต่อเนื่อง ในขณะที่บริษัทฯ อื่นๆ อาจชะลอตัวตามเศรษฐกิจหรือปรับลดยอดขายลงด้วยซ้ำ
“นโยบายของเรามุ่งเน้นการขยายยอดขาย ถึงแม้ในจังหวะเวลาที่ไม่ดี เพื่อที่เราจะสามารถเก็บเกี่ยวผลประโยชน์ได้อย่างเต็มที่ หลังจากที่สถานการณ์ต่างๆ กลับเข้าสู่ภาวะปกติ จริงอยู่ว่า การเพิ่มยอดขายต้องมีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นตาม แต่เราก็จะสามารถทำยอดกำไรเพิ่มขึ้นได้ในภายหลัง" นายมิทซึจิ กล่าว
สำหรับยอดรายได้จากการเช่าซื้อเพิ่มขึ้น 30% ในไตรมาสที่ 1/57 และบริษัทฯ ยังเดินหน้าขยายยอดขายต่อเนื่องในอัตราใกล้เคียงกันในไตรมาสนี้ และคาดว่าจะเพิ่มสูงขึ้นมากกว่า 40% ในไตรมาส 3 และไตรมาส 4 ปีนี้ หลังจากที่เศรษฐกิจในภูมิภาคต่างจังหวัดเริ่มฟื้นตัว จากการอัดฉีดเม็ดเงินเข้าสู่ภาคการเกษตรและธุรกิจเอสเอ็มอีของ คสช.
GL รายงานผลประกอบการที่ทรุดต่ำลงในไตรมาสที่ 1/57 โดยมีกำไรสุทธิลดลงเหลือ 10.76 ล้านบาท ซึ่งลดลงจากยอดกำไรสุทธิที่สูงถึง 90.63 ล้านบาทในไตรมาส 1 ของปีที่แล้ว เนื่องจากต้องตั้งสำรองหนี้สูญและหนี้สงสัยจะสูญเป็นจำนวนมาก จากปัจจัยการผิดนัดชำระงวดของลูกค้า โดยการตั้งสำรองดังกล่าวเพิ่มขึ้นจาก 60.82 ล้านบาท ในไตรมาส 1 ปีที่แล้ว มาเป็น 120.98 ล้านบาท ในไตรมาส 1 ปีนี้
นายมิทซึจิ กล่าวแสดงความเชื่อมั่นว่า เงินสำรองที่ตั้งไว้สูงมากในไตรมาส 1 ปีนี้นั้น สุดท้ายแล้ว จะสามารถทยอยกลับมาบันทึกใหม่เป็นกำไร หลังจากที่สถานการณ์เศรษฐกิจกลับคืนเข้าสู่ภาวะปกติ และลูกค้าสามารถกลับมาชำระค่างวดได้ตามกำหนด ซึ่งภาวะเช่นนี้น่าจะเริ่มเกิดขึ้นได้ในครึ่งปีหลัง