สมาคมตลาดตราสารหนี้ไทย (ThaiBMA) สรุปภาวะตลาดตราสารหนี้ไทยวันนี้มีมูลค่าการซื้อขายรวม 72,068 ล้านบาท โดยประเภทของตราสารที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงที่สุด คือ พันธบัตรธนาคารแห่งประเทศไทย โดยมีมูลค่าการซื้อขายเท่ากับ 50,772 ล้านบาท หรือคิดเป็นสัดส่วน 70.5% ของมูลค่าการซื้อขายทั้งหมดที่เกิดขึ้นในวันนี้ ลำดับถัดมาคือ พันธบัตรรัฐบาล มีมูลค่าการซื้อขายเท่ากับ 10,906 ล้านบาท หรือคิดเป็นสัดส่วน 15.1% ทางด้าน หุ้นกู้เอกชน มีมูลค่าการซื้อขายเท่ากับ 977 ล้านบาท หรือคิดเป็น 1.4% ของมูลค่าการซื้อขายทั้งหมด
สำหรับ พันธบัตรรัฐบาล รุ่นที่นิยมซื้อขายสูงสุดในวันนี้คือ พันธบัตรรุ่น LB176A, LB21DA และ LB196A (รุ่นอายุ 3.1 ปี, 7.6 ปี และ 5.1 ปี ตามลำดับ) โดยมีมูลค่าการซื้อขายรวมกัน 7,740 ล้านบาท หรือคิดเป็น 71% ของมูลค่าการซื้อขายพันธบัตรรัฐบาลทั้งหมด ทางด้าน หุ้นกู้เอกชน รุ่นที่นิยมซื้อขายสูงสุด 3 อันดับแรกในวันนี้ คือ
1. หุ้นกู้ของบริษัท เมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน)(MJD155A)มูลค่า 181.5 ล้านบาท
2. หุ้นกู้ของธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน)(BAY156A)มูลค่า 126.2 ล้านบาท
3. หุ้นกู้ของบริษัท ไออาร์พีซี จำกัด (มหาชน)(IRPC195B)มูลค่า 100.2 ล้านบาท
โดยมีมูลค่าการซื้อขายรวมกัน 408.0 ล้านบาท หรือคิดเป็น 41.8% ของมูลค่าการซื้อขายหุ้นกู้เอกชนทั้งหมดในวันนี้
ทางด้านประเภทของนักลงทุน ที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงที่สุดเป็น 2 อันดับแรกในวันนี้ คือ
1. กลุ่มบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) มียอดขายสุทธิ เท่ากับ -2,451 ล้านบาท
2. กลุ่มบริษัทจดทะเบียนในประเทศ มียอดซื้อสุทธิ เท่ากับ 573 ล้านบาท
ในขณะที่นักลงทุนต่างชาติ มียอดขายสุทธิ เท่ากับ -88 ล้านบาท
ผลตอบแทนของพันธบัตรรัฐบาลอายุ 3 เดือน ปิดที่ 2.03% ไม่มีการเปลี่ยนแปลงจากเมื่อวาน และผลตอบแทนของพันธบัตรรัฐบาลอายุ 5 ปี ปิดที่ 3.11% ปรับตัวลดลงจากเมื่อวาน -0.02%
Yield Curve ปรับลดลง ในตราสารอายุ 3 ปีขึ้นไป ประมาณ 1-2 bps. ในทิศทางเดียวกับ US Treasury โดยวันนี้ สศค. คาดว่า GDP ในไตรมาสที่ 2 ขยายตัวเป็นบวกจากไตรมาสแรกที่ติดลบ และ GDP ทั้งปี จะขยายตัวได้ร้อยละ 2.6 ตามที่คาดการณ์ไว้ เพราะมีรัฐบาลได้ก่อนไตรมาสที่ 3 โดยทาง สศค.จะปรับประมาณการเศรษฐกิจในเดือนหน้า ซึ่งคาดว่าจะเป็นไปในทิศทางที่ดีขึ้น สำหรับนักลงทุนต่างชาติ มียอดขายสุทธิ (NET SELL) เท่ากับ 88 ล้านบาท