นอกจากนี้ ตัวเลขการผลิตงวดเดือนพ.ค.ของจีนก็ออกมาดีกว่าคาดด้วย อีกทั้งในวันพฤหัสนี้จะมีการประชุม ECB ซึ่งก็คาดว่าจะมีการผ่อนคลายทางการเงิน
ส่วนตลาดบ้านเราก็ลุ้นเรื่องนโยบายเศรษฐกิจของไทยต่อไป อย่างไรก็ดีนักลงทุนต่างชาติยังคงขายอยู่ ดังนั้นตลาดฯคงจะยังเป็นลักษณะของการเทรดดิ้งในหุ้นขนาดกลาง-เล็ก
พร้อมแนะจับตาเงินบาทที่อ่อนค่าในขณะนี้ ซึ่งต้องดูว่าจะรีบาวน์ได้บ้างไหม พร้อมให้แนวรับ 1,410-1,406 จุด แนวต้าน 1,425 จุด
ประเด็นของการพิจารณาการลงทุน :
- ตลาดหุ้นนิวยอร์ควานนี้(29 พ.ค.)ดัชนีดาวโจนส์ปิดที่ 16,717.17 จุด เพิ่มขึ้น 18.43 จุด(+0.11%), ดัชนี S&P 500 ปิดที่ 1,923.57 จุด เพิ่มขึ้น 3.54 จุด (+0.18%),ดัชนี Nasdaq ปิดที่ 4,242.62 จุด ลดลง 5.33 จุด(-0.13%)
- ตลาดหุ้นเอเชียเปิดเช้านี้ ดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่น เพิ่มขึ้น 145.13 จุด, ดัชนี KOSPI ตลาดหุ้นเกาหลีใต้ เพิ่มขึ้น 3.85 จุด, ดัชนี FTSE STI ตลาดหุ้นสิงคโปร์ เพิ่มขึ้น 7.38 จุด, ดัชนี FBMKLCI ตลาดหุ้นมาเลเซีย ลดลง 5.58 จุด และดัชนี S&P/ASX 200 ตลาดหุ้นออสเตรเลีย ลดลง 8.40 จุด
ทั้งนี้ ตลาดหุ้นจีน ตลาดหุ้นฮ่องกง และตลาดหุ้นไต้หวัน ปิดทำการวันนี้เนื่องในเทศกาลเรือมังกร
- ตลาดหุ้นไทยปิดล่าสุด(30 พ.ค.) ที่ 1,415.73 จุด เพิ่มขึ้น 7.22 จุด(+0.51%)
- นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 2,137.33 ล้านบาท เมื่อวันที่ 30 พ.ค.57
- ราคาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนก.ค.ในตลาดไนเม็กซ์ปิดทำการล่าสุด(30 พ.ค.)ที่ 102.71 ดอลลาร์/บาร์เรล ลดลง 87 เซนต์
- ค่าการกลั่นอ้างอิงตลาดสิงคโปร์ปิดล่าสุด(30 พ.ค.)ที่ 5.49 เหรียญสหรัฐฯ/บาร์เรล
- เงินบาทเปิดตลาดที่ 32.83/85 อ่อนค่าตามภูมิภาค
- กสทช.อิงประกาศ คสช.เดินหน้าจัดระเบียบวิทยุทีวี ปรับโครงข่ายกล่อง-ช่องทีวีดาวเทียมให้บริการ"บอกรับสมาชิก"รับสิทธิออนแอร์อีกครั้ง หลัง คสช.สั่งระงับ 200 ช่องทีวีดาวเทียม ด้าน "พีเอสไอ-บิ๊กโฟร์" ขานรับนโยบายยืนยันให้บริการบอกรับสมาชิก"แกรมมี่-อาร์เอส"พร้อมเปลี่ยนช่องเพย์ทีวี
- คสช.สั่งตรึง"ดีเซล-แอลพีจี"บรรเทาความเดือนร้อนประชาชน พร้อมเตรียมแพกเกจใหญ่กระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้น ลั่นในเดือนมิ.ย.นี้ ต้องเสร็จด้าน"พล.อ.ประยุทธ์"ถกรองคสช.-หน่วยงานเศรษฐกิจ วันนี้กำหนดโรดแมพประเทศ ขณะนักเศรษฐศาสตร์ประเมินความเชื่อมั่นฟื้นในระยะสั้น หนุนเศรษฐกิจโตครึ่งปีหลัง
- "ท่องเที่ยว"โหมกิจกรรมหวังบูมไฮซีซันปลายปี อัดแคมเปญ "ไทยแลนด์ บีเอฟเอฟ" เรียกความมั่นใจต่างชาติ เดินหน้ากระตุ้นตลาดไทย สร้างเม็ดเงินหมุนเวียนแทนตลาดต่างประเทศ ด้านธุรกิจโรงแรมหวังเลิกเคอร์ฟิวก่อนมหกรรมฟุตบอลโลกบราซิล 2014 เดือนมิ.ย.นี้ ลุ้นโอกาสฟื้นธุรกิจ ด้านกลุ่มค้าปลีกวอนเร่งฟื้นความเชื่อมั่น-ขับเคลื่อนเศรษฐกิจ "กระตุ้นบริโภคภายในประเทศ-เสริมสภาพคล่องเอสเอ็ม
- รองหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) หัวหน้ากลุ่มงานเศรษฐกิจ เปิดเผยถึงแนวทางและรูปแบบการบริหารจัดการด้านเศรษฐกิจ (โรดแมป) หลังจากหารือกับผู้บริหารกระทรวงการคลังเป็นเวลานาน 4 ชั่วโมง ว่ามีเรื่องเร่งด่วนระยะสั้นที่เป็นโรดแมป ซึ่งจะต้องดำเนินการโดยเร็ว 10 มาตรการ
- อธิบดีกรมโรงงานอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า ในเดือนพ.ค. ที่ผ่านมา จำนวนโรงงานที่ประกอบกิจการใหม่ยังคงปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่องมาอยู่ที่ 216 แห่ง ลดลง 39.66% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนโดยเป็นการติดลบอย่างต่อเนื่องมาตั้งแต่ต้นปีจากปัญหาทางการเมือง ขณะที่เงินลงทุนก็ลดลงเหลือ 1.59 หมื่นล้านบาทหรือลดลง 47.92% เพราะนักลงทุนรอความชัดเจนจากปัญหาการเมือง นโยบายจากภาครัฐ
- รายงานข่าวจากกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า ประชาชนได้ร้องเรียนผ่านสายด่วน 1569 ถึงราคาเนื้อหมู (ไหล่ สะโพก) ในตลาดสดจำนวนมากว่า ราคายังอยู่ในระดับสูง โดยหมูเนื้อแดงหน้าเขียงจำหน่ายในราคา 160-165 บาท/กก. มาเป็นระยะเวลา 2 เดือนแล้ว และยังมีแนวโน้มว่าราคาขายปลีกอาจปรับตัวเพิ่มขึ้นอีก หลังจากที่ผู้ประกอบการหน้าฟาร์มได้ขยับปรับราคาหมูขึ้นมาอีก 2 บาท/กก. เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ซึ่งอาจส่งผลให้ราคาขายปลีกหรือราคาหน้าเขียงอาจขยับขึ้นมาสูงกว่าปัจจุบัน
- ธปท.เผยสินเชื่อโดยรวมลดลงต่อเนื่องเหลือ 8.6% ผลสินเชื่ออุปโภคบริโภคเป็นสำคัญ เหตุผู้กู้-ผู้ให้กู้ระวังตัวมากขึ้นจากเศรษฐกิจและปัญหาการเมือง ขณะเดียวกันแบงก์เริ่มออกกองทุนใหม่ๆ มากขึ้น ทำให้แข่งขันงินฝากน้อยลง พบเงินฝากของรัฐบาลลดลงด้วย ด้านอสังหาฯไทยพบผู้ประกอบการเปิดขายอาคารชุดที่มีขนาดใหญ่น้อยลง อีกทั้งมองปีนี้เศรษฐกิจโต 2.7% เป็นเรื่องยาก เล็งลดเป้าส่งออกต่ำกว่า 4.5%
- ธปท.รายงานดุลบัญชีเงินทุนเคลื่อนย้ายเดือนเม.ย. 2557 พบว่า มีเงินทุนไหลเข้าสุทธิ 1,402 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 4.6 หมื่นล้านบาท หากคิดอัตราแลกเปลี่ยนปัจจุบันที่ระดับ 32.80 บาทต่อเหรียญสหรัฐ เป็นการไหลเข้ามาลงทุน ทั้งการลงทุนโดยตรงและการลงทุนในหลักทรัพย์ของนักลงทุนต่างชาติ เทียบกับเดือนก่อนหน้าที่ไหลออกสุทธิ 2,174 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 7.1 หมื่นล้านบาท
*หุ้นเด่นวันนี้
- QH(ดีบีเอส วิคเคอร์ส)"ซื้อ"เป้า 3.60 บาท คาดยอดขายปี 57 จะเติบโตได้ 5%YoY โดยเป็นผลจากการเปิดโครงการใหม่ 25 โครงการ มูลค่า 22.3 พันล้านบาท ซึ่งเพิ่มขึ้นจากปี 56 ที่เปิดขาย 18 โครงการ มูลค่า 19.9 พันล้านบาท และบริษัทได้เพิ่มงบลงทุนซื้อที่ดินเป็น 7 พันล้านบาท จากเดิม 4.6 พันล้านบาท เพื่อเปิดขายโครงการปี 58 ซึ่งเรามองว่าเป็นกลยุทธ์ที่ดีที่บริษัทซื้อที่ดินเก็บไว้ในช่วงที่เศรษฐกิจซบเซา ทำให้แรงกดดันด้านต้นทุนที่ดินจะน้อยลง เพราะเมื่อเศรษฐกิจฟื้นตัวและมีการเปิดเส้นทางรถไฟฟ้าสายใหม่ๆ เพิ่ม ราคาที่ดินก็จะปรับสูงขึ้นไปอีก ในด้านมูลค่าหุ้นยังต่ำและน่าจูงใจ โดยถ้าไม่นับเงินลงทุนในพอร์ตแล้ว ราคาหุ้นปัจจุบันของ QH ซื้อขายที่ P/E เพียง 2.4 เท่าของธุรกิจเฉพาะที่อยู่อาศัย
- CK (เคเคเทรด)"ซื้อ"เป้า 22.44 บาท แม้ว่าโครงการลงทุนใหญ่ของ คสช.จะกลับมาเริ่มดำเนินการใหม่แต่ยังคงต้องรอความชัดเจนอีกหลายประเด็น อย่างไรก็ดีมองว่า CK จะได้รับความเสี่ยงน้อยแม้ว่ายังไม่มีงานโครงการขนาดใหญ่ในช่วงนี้ เพราะงานในมือกว่า 1 แสนล้านบาท และยังมีโครงการโรงไฟฟ้าและเขื่อนน้ำบากที่รอทำเซ็นสัญญามูลค่ากว่า 2 หมื่นล้านบาท ซึ่งจะช่วยสนับสนุนรายได้ในอนาคตให้มีความต่อเนื่อง ทำให้มองว่า CK จะสามารถรักษาระดับรายได้ไม่ต่ำกว่า 7.5 พันล้านบาทต่อไตรมาส และอัตรากำไรขั้นต้นที่ระดับ 10%
- EFORL(เคเคเทรด)"ซื้อ"เป้า 0.95 บาท หาก คสช.สามารถเร่งรัดการเบิกจ่ายคงค้างที่เกี่ยวข้องกับงานสาธารณสุขได้เร็ว จะเป็นปัจจัยบวกต่อ EFORL ซึ่งจะมีโอกาสเพิ่มรายได้จากโรงพยาบาลของรัฐในช่วงครึ่งปีหลัง ส่วนการเจาะตลาดเอกชน ยังมีความได้เปรียบจากการเป็นตัวแทนจำหน่ายอุปกรณ์เครื่องมือแพทย์ให้กับแบรนด์ชั้นนำจากต่างประเทศหลากหลายผลิตภัณฑ์ ได้รับการยอมรับในวงกว้างจากแพทย์ ทำให้มีคำสั่งซื้อซ้ำต่อเนื่อง อีกทั้งยังมีสถานะ"ปลอดหนี้"ทำให้มีความเสี่ยงในการดำเนินงานต่ำ สามารถขยายธุรกิจได้ตามแผนธุรกิจในเร็วๆ
- TMB(ฟินันเซีย ไซรัส)"ซื้อ"เป้า 2.60 บาท เริ่มน่าสนใจทั้งไม่ใช่หุ้นที่ต่างชาตินิยมแล้ว ในแง่ Valuations ยังถูก เพราะมี PE 15 เท่าในปีนี้และ 13.7 เท่าในปีหน้า มี PBV 1.5 เท่าปีนี้และ 1.4 เท่าปีหน้า ต่ำกว่าช่วงรัฐประหารปี 2006 ที่มี PBV 1.8 เท่า ส่วน PE หาค่าไม่ได้เพราะขาดทุน ขณะที่กำไรปี 2014 นี้ คาดเติบโต 17% Y-Y สูงสุดในกลุ่มที่โตเพียง 2%