ในช่วงเดือน เม.ย.ที่ผ่านมามีจำนวนผู้โดยสารที่ใช้บริการบีทีเอสอยู่ที่ราว 6 แสนรายแล้ว ประกอบกับจะมีรายได้ส่วนหนึ่งมาจากส่วนต่อขยายสายสุขุมวิทอีกประมาณ 5,000 ล้านบาท และรายได้จากการรับจ้างบริหารอีก 17% รวมถึงรายได้จากบัตรแรบบิทปีนี้คาดว่าจะจะเพิ่มขึ้นเป็น 3.5 ล้านใบ
ส่วนรายได้จากธุรกิจสื่อโฆษณา หรือ Media จะเติบโตอยู่ที่ 13-17% จากพื้นฐานอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ(GDP)ของไทยในปีนี้ที่คาดว่าจะเติบโตราว 2% ขณะที่ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์คาดว่าในปีนี้จะโอนโครงการได้ครบทั้งหมด จากปัจจุบันเหลืออยู่ 200 ห้อง และโอนไปแล้วทั้งสิ้น 800 ห้อง พร้อมทั้งมีแผนจะเปิดให้บริการโรงแรม ยู สาธร กรุงเทพฯ ในช่วงเดือน พ.ย.นี้อีกด้วย
และในปีนี้บริษัทตั้งงบลงทุนไว้ราว 2,000 ล้านบาท ใช้ในการปรับปรุงรถไฟฟ้าบีทีเอส รวมทั้งปรับปรุงและพัฒนาประตูชานชาลา
ส่วนแผนการเข้าไปประมูลการเดินรถไฟฟ้าใต้ดินในนครปักกิ่งของจีน มูลค่าโครงการ 8 หมื่นล้านบาท ซึ่งเป็นการเข้าไปร่วมทุนกับบริษัท Citic ในประเทศจีนในสัดส่วนฝ่ายละ 50% นั้น คาดทราบผลภายในเดือน มิ.ย.นี้ ทั้งนี้ หากชนะการประมูลบริษัทจะต้องใช้งบลงทุนจากเงินสดที่มีราว 1.6 หมื่นล้านบาท และจะกู้เงินจากสถาบันการเงินเพิ่มอีก 2.4 หมื่นล้านบาท
อย่างไรก็ตาม หากไม่ชนะการประมูลดังกล่าวบริษัทฯจะมีการเตรียมยื่นเข้าประมูลงานเดินรถไฟฟ้าอีก 2 สายในประเทศจีน คาดหวังว่าบริษัทน่าจะได้อย่างน้อย 1 โครงการ โดยบริษัทมีเงินสดอยู่ที่ 3.1 แสนล้านบาท และมี D/E อยู่ที่ 2.5 เท่า ซึ่งสามารถดำเนินโครงการได้โดยไม่ต้องเพิ่มทุน
ขณะที่แผนการเข้าประมูลโครงการรถไฟฟ้าในประเทศ บริษัทเตรียมเข้าประมูลงานเดินรถเพิ่ม 3 สาย แบ่งเป็นรถไฟฟ้าสายสีเขียวเข้ม ปลายทางหมอชิต และสายสีเขียวอ่อน ปลายทางแบริ่งภายในปีนี้ มูลค่าโครงการกว่าแสนล้านบาท ขณะที่ในปี 58 จะยื่นประมูลเดินรถไฟฟ้าเพิ่มอีกด้วย ซึ่งเป็นรถไฟฟ้าสายสีชมพู-เทา