“ตลาดหลักทรัพย์ฯ จะมุ่งเน้น 3 ด้านคือ การต่อยอดสินค้าที่มีในปัจจุบันให้มีจำนวนเพิ่มมากขึ้นและหลากหลายยิ่งขึ้น การสร้างใหม่คือการพัฒนาสินค้าและบริการใหม่ๆ และการขยายฐานผู้ลงทุนที่มุ่งเน้นปลูกฝังความเข้าใจในเรื่องการลงทุนว่าเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับชีวิต โดยทั้ง 3 ด้านจะดำเนินการควบคู่ไปกับการพัฒนาคุณภาพ เพื่อตลาดทุนสามารถเป็นที่พึ่งพิงให้กับประเทศ พร้อมตอกย้ำเป็นตลาดทุนชั้นนำในภูมิภาค”
สำหรับแนวทางการ ต่อยอด: ตลท.จะต่อยอดสินค้าที่มีอยู่ในปัจจุบัน โดยเพิ่มจำนวนบริษัทจดทะเบียนมากขึ้นเพื่อขยายขนาดของตลท.พร้อมเพิ่มความหลากหลายให้มีหุ้นและอนุพันธ์ประเภทใหม่ๆ ทั้งจากต่างประเทศและในประเทศเพื่อให้ผู้ประกอบการสามารถใช้ประโยชน์จากตลาดทุนอย่างเต็มที่ และผู้ลงทุนมีทางเลือกที่ตอบโจทย์ความต้องการการลงทุน ขณะเดียวกัน จะเดินหน้าสนับสนุนภาคธุรกิจ SMEs ให้ระดมทุนผ่านตลาดหุ้น
สร้างใหม่: ตลท.ยังมุ่งสร้างสินค้าและบริการประเภทใหม่ๆ ให้ครบวงจรมากยิ่งขึ้น ครอบคลุมทุกฟังชั่นทั้งงานที่บริการแก่ลูกค้าและงานบริการหลังการซื้อขายที่เป็นมาตรฐานระดับตลาดชั้นนำ ด้านสินค้าจะมีเครื่องมือการลงทุนใหม่ๆ ที่เกี่ยวข้องกับสินค้าโภคภัณฑ์และตราสารหนี้ นอกจากนี้ ยังมีแผนเพิ่มบริการหลังการซื้อขาย(post trade)ให้ครอบคลุมการบริการให้กับตลาดต่างประเทศโดยเฉพาะประเทศเพื่อนบ้าน
ขยายฐาน: ตลท.เดินหน้าสร้างความรู้ความเข้าใจด้านการลงทุนให้กับผู้ลงทุนและประชาชนอย่างต่อเนื่อง โดยจะเน้นกลุ่มที่เริ่มชีวิตการทำงานว่าการลงทุนเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตที่จะต้องทำความรู้จักตั้งแต่วันนี้ และยิ่งเริ่มเร็วก็จะยิ่งได้รับประโยชน์จากการลงทุน เนื่องจากวัยเริ่มทำงานจะมีระยะเวลาในการลงทุนนานก่อนจะถึงวัยเกษียณ จึงสามารถสร้างผลตอบแทนจากการลงทุนระยะยาว และสร้างให้เกิดอิสรภาพทางด้านการเงิน และในที่สุดจะส่งผลดีต่อประเทศ เนื่องจากประเทศไทยกำลังก้าวสู่การเป็นสังคมผู้สูงอายุ (aging society) การที่ประชาชนเตรียมพร้อมก่อนเข้าสู่วัยเกษียณจึงจำเป็นอย่างยิ่ง
การดำเนินงานตามแผนทั้ง 3 ด้านจะเน้นการเติบโตอย่างมีคุณภาพ โดยพร้อมสนับสนุนให้บริษัทจดทะเบียนได้เข้าไปอยู่ในการจัดอันดับระดับโลกเพิ่มขึ้น อาทิ ดัชนีด้านความยั่งยืน DJSI (Dow Jones Sustainability Index) หรือการจัดอันดับด้านบรรษัทภิบาลตามมาตรฐานสากล นอกจากนี้จะพัฒนาให้การเข้าถึงตลาดและการรับข้อมูลสะดวกสบายและมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยนำเทคโนโลยีระบบออนไลน์เข้ามาผนวกบริการด้านต่างๆ ของตลาดหลักทรัพย์ฯ ไว้ด้วยกันอย่างครบวงจรเพื่ออำนวยความสะดวกแก่ผู้ลงทุน
นางเกศรา กล่าวว่า การทำงานช่วงครึ่งหลังของปีนี้ ยังคงเดินหน้าตามแผนกลยุทธ์ปี 57 ที่มุ่งเพิ่มคุณภาพ บริษัทจดทะเบียน ผู้ลงทุนบุคคล สถาบันตัวกลาง และผลิตภัณฑ์และบริการ เพื่อรองรับกับความไม่แน่นอนจากปัจจัยภายในและต่างประเทศที่สูงขึ้น พร้อมสร้างความเชื่อมโยงกับภูมิภาค รวมทั้งเดินหน้าพัฒนาประสิทธิภาพระบบโครงสร้างพื้นฐานให้เสร็จสมบูรณ์
ในปีนี้ ตลท.ยังคงเป้าหมายขยายฐานนักลงทุนหน้าใหม่ที่ 80,000 บัญชี มูลค่าหลักทรัพย์(มาร์เก็ตแคป)จากบริษัทจดทะเบียนใหม่ 2.1 แสนล้านบาท ซึ่งทีมงานยังทำงานอย่างจริงจังน่าจะได้ตามเป้า เพราะในช่วง 5 เดือนแรก(สิ้นพ.ค.) มีเพิ่มเข้ามาแล้ว 9.1 หมื่นล้านบาท ขณะที่เป้าหมายปริมาณสัญญาซื้อขายในตลาดอนุพันธ์ปีนี้ที่ 75,000 สัญญา/วัน ซึ่งปัจจุบันได้แล้ว 71,000 สัญญา/วันสิ้นปีก็น่าจะได้ตามเป้า
ส่วนมาร์เก็ตแคปของตลาดรวมปีนี้ตั้งเป้าที่จะเพิ่มขึ้นแตะ 12 ล้านล้านบาท ปัจจุบันก็ทำได้ตามเป้าหมายแล้ว ส่วนจะมีการปรับตัวเลขหรือไม่ คงต้องนำเสนอให้ที่ประชุมคณะกรรมการ ตลท.พิจารณาก่อน
ขณะเดียวกัน ตลท.ยังคงนโยบายที่จะเดินทางไปนำเสนอข้อมูล(โรดโชว์)ให้กับนักลงทุนต่างประเทศอย่างต่อเนื่อง โดยในปีนี้ตั้งเป้าจะจัดโรดโชว์ 7 ครั้ง ซึ่งในช่วงครึ่งแรกจัดไปแล้ว 3 ครั้งที่ยุโรป, สิงคโปร์-ฮ่องกง, สหรัฐฯและแคนนาดา ครึ่งปีหลังจะมีการจัดอีก 4 ครั้ง เริ่มจากสัปดาห์หน้าจะเดินทางไปยังสิงคโปร์ และฮ่องกง ร่วมกับบริษัทหลักทรัพย์ต่างชาติ ถัดไปเป็นญี่ปุ่น และย้อนกลับมาที่สิงคโปร์และฮ่องกง
"ตลาดหลักทรัพย์เดินทางมา 40 ปี อนุพันธ์ 9 ปี มีสินค้ามากมาย จากนี้ไปอีก 4 ปีเราจะต้องวางรากฐานเพื่อในปี 4 ข้างหน้า โดยตั้งเป้าเพื่อที่จะเห็นวอลุ่มซื้อขายเฉลี่ยที่ 1 แสนล้านบาท/วันในปี 2020 และจะเห็นสัญญาซื้อขายอนุพันธ์แตะ 1 แสนสัญญา/วัน"
นางเกศรา กล่าวว่า จากการหารือกับคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.)ทาง คสช.ยังคงให้ตลาดทุนเปิดเสรีให้เงินทุนต่างประเทศเข้า-ออกเหมือนเดิม จะเห็นได้จากการเปิดโรดแมพ 3 ระยะ และ 10 มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ทำให้ตลาดหุ้นบวกขึ้นได้มา จากปฏิกิริยาเมื่อวานดัชนี SET ปรับขึ้นมาถึง 25 จุดและวันนี้อีกว่า 10 จุด เป็นการตอบรับของทั้งนักลงทุนไทยและต่างประเทศอย่างชัดเจน
และ จากการเข้าร่วมประชุม 7 องค์กรภาคเอกชนเห็นว่าการดูแลเศรษฐกิจจะเป็นบวกต่อตลาดทุน การออกกองทุนโครงสร้างพื้นฐานเป็นเครื่องมือหนึ่งในการระดมทุน ภาครัฐก็สามารระดมทุนผ่านกองทุนดังกล่าวได้ ซึ่งที่ผ่านมาก็ได้เสียงตอบรับเป็นบวก แต่การลงทุนรถไฟรางคู่คงจะไม่สามารถระดมทุนรูปแบบนี้ได้เพราะโดยหลักการต้องเป็นการลงทุนที่เกิดขึ้นแล้ว