(เพิ่มเติม) PCA เล็งเคาะราคาขาย IPO ราว 12 มิ.ย.ก่อนเข้าเทรดปลายเดือน

ข่าวหุ้น-การเงิน Friday June 6, 2014 13:08 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

บมจ.แพลนเน็ต คอมมิวนิเคชั่น เอเชีย(PCA) คาดว่าจะกำหนดราคาขายหุ้นเพิ่มทุนให้แก่ประชาชนทั่วไปครั้งแรก(IPO)ราววันที่ 12 มิ.ย.7 และคาดว่าจะเข้าเทรดในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ(MAI)ได้ภายในปลายเดือน มิ.ย. ทั้งนี้ บริษัทคาดว่าจะได้รับกระแสตอบรับที่ดี เนื่องจากผลประกอบการในปีนี้จะเติบโตได้มากกว่าที่คาดไว้ หลังจากมีการนำสินค้าใหม่มาจำหน่าย คือ กล่องรับสัญญาณทีวีดิจิตอล(set top box) ซึ่งเชื่อว่าจะผลักดันให้รายได้ในปีนี้เติบโตถึง 40% สูงกว่าเดิมที่เคยตั้งเป้าไว้ในระดับ 15-20% และอัตรากำไรสุทธิปีนี้จะเพิ่มเป็น 8-9% จากไตรมาส 1/57 อยู่ที่ 5%

อนึ่ง PCA ดำเนินธุรกิจให้บริการด้านเทคโนโลยีสื่อสารโทรคมนาคมและดิจิตอลทีวี โดยเป็นทั้งตัวแทนจำหน่ายผลิตภัณฑ์จากผู้ผลิตชั้นนำต่างๆทั่วโลก เช่น CISCO, CODAN, Panasonic และผลิตภัณฑ์ภายใต้ชื่อบริษัทเอง คือ “PlanetComm" ซึ่ง PCA จะเสนอขายหุ้นเพิ่มทุน 75 ล้านหุ้น แบ่งเป็นเสนอขายประชาชนจำนวน 70 ล้านหุ้น และเสนอขายกรรมการและพนักงานของบริษัท 5 ล้านหุ้น

นายสมภพ กีระสุนทรพงษ์ กรรมการผู้อำนวยการ บล.ฟินันเซีย ไซรัส ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน PCA เปิดเผยว่า คาดว่าจะกำหนดราคาหุ้นเพิ่มทุนที่เสนอขายให้แก่ประชาชนทั่วไปครั้งแรก(IPO) ของ PCA ได้ในวันที่ 12 มิ.ย./57 นี้ และคาดว่าจะจองซื้อได้ในช่วงสัปดาห์ที่ 3 ของเดือน และคาดว่าจะเข้าเทรดในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ(MAI)ได้ภายในช่วงปลายเดือนนี้

สำหรับภาพรวมตลาดหุ้นในปัจจุบัน หลังจากที่การเมืองเริ่มเห็นทิศทางที่มีความชัดเจนมากขึ้น ประกอบกับคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ได้มีการออกนโยบายในการกระตุ้นเศรษฐกิจที่ความชัดเจน ส่งผลให้มูลค่าการซื้อขายกลับมาคึกคัก โดยช่วงนี้มูลค่าการซื้อขายกลับมาอยู่ที่ 4-5 หมื่นล้านบาท/วัน ใกล้เคียงกับช่วงก่อนเกิดสถานการณ์ทางการเมือง จากที่ก่อนหน้านี้มูลค่าการซื้อขายลดลงไปอยู่ที่ราว 2 หมื่นล้านบาท/วันขณะที่สถานการณ์ทางการเมืองยังไม่มีความชัดเจน

ด้านนายประพัฒน์ รัฐเลิศกานต์ กรรมการผู้อำนวยการและหัวหน้าเจ้าหน้าที่บริหาร PCA เปิดเผยว่าบริษัทฯปรับเพิ่มเป้าหมายการเติบโตของรายได้เพิ่มขึ้นเป็น 40% จากเดิมที่คาดว่ารายได้จะเติบโตราวปีละ 15-20% เนื่องจากบริษัทมีรายได้เพิ่มเติมเข้ามาใหม่จากธุรกิจใหม่คือการขายกล่อง Set Top Box โดยคาดว่าจะมีมูลค่าตลาดรวมขั้นต่ำที่ 1.1 หมื่นล้านบาท ซึ่งบริษัทมีเป้าหมายชิงส่วนแบ่งตลาดให้ได้ราว 5-10%

นอกจากนั้น บริษัทยังตั้งเป้ารักษาอัตรากำไรสุทธิให้อยู่ในระดับ 8-9% หลังไตรมาส 1/57 ที่ผ่านมาอัตรากำไรสุทธิลดลงไปอยู่ที่ 5.83 % เนื่องจากบริษัทมีค่าใช้จ่ายของงานที่ค้างอยู่ในมืออยู่ระหว่างรอส่งมอบจำนวนมาก ประกอบกับจะมีรายได้จากการขายกล่อง Set Top Box เข้ามาช่วยผลักดันให้อัตรากำไรสุทธิสูงขึ้นได้


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ