ส่วนราคาหุ้นกลุ่มปตท.ปรับต้วลงจากกระแสข่าวต่างๆ ในโซเชียลมีเดียนั้น บริษัทฯ ทำได้แต่การชี้แจงให้มากขึ้นทั้งกับนักลงทุนในประเทศและต่างประเทศ โดยในกลุ่มนักลงทุนและนักวิเคราะห์เชื่อว่าเข้าใจธุรกิจของกลุ่มปตท.อยู่แล้ว นอกจากนี้ จะมีการจัดสัมมนาหรือชี้แจงโดยตรงกับประชาชนทั่วไปและชี้แจงผ่านสื่อมากขึ้น
"ตัวพื้นฐานของปตท.ไม่เปลี่ยน การปฏิรูปโครงสร้างราคาพลังงานหากเกิดขึ้นชัดเจนจะทำให้เกิดผลดีต่อธุรกิจพลังงาน" นายวิรัตน์ กล่าว
ด้านนายไพรินทร์ ชูโชติถาวร ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ PTT แถลงกรณีที่การเผยแพร่ข้อมูลใน social media ที่ไม่เป็นความจริง โดยได้สรุปเป็น 6 ประเด็น ได้แก่ เงินเดือนของประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ที่ไม่ได้รับสูงตามที่กล่าวอ้าง, การจัดตั้งบริษัทในเกาะเคย์แมนเพื่อประโยชน์ทางภาษี, ประเด็นปตท.ผูกขาดธุรกิจน้ำมัน, ประเด็นประเทศไทยมีน้ำมันมากมหาศาล รวมทั้งประเด็นราคา LPG ที่ชี้แจงว่าราคาที่ใช้กับอุตสาหกรรมปิโตรเคมีไม่สูงเมื่อเทียบกับอุตสาหกรรมอื่นเพราะนำไปใช้เป็นวัตถุดิบไม่ใช่ใช้เป็นเชื้อเพลิง และการปรับโครงสร้างธุรกิจน้ำมันซึ่งเป็นเรื่องที่ปตท.ให้ความสำคัญ
อย่างไรก็ตาม ปตท. กับกระทรวงพลังงานได้จัดเตรียมข้อมูลที่เป็นจริง เพื่อให้ประชาชนทั่วไปเข้าใจได้ถูกต้อง รวมทั้งการนำเสนอเรื่องการปฏิรูปโครงสร้างพลังงานซึ่งกระทรวงพลังงานได้ประสานกับคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) และยังอุดหนุนพลังงานบางประเภทจะทำให้ประชาชนไม่ได้ใช้พลังงานอย่างประหยัดและเหลือไว้ให้ลูกหลาน
ขณะเดียวกันเห็นว่าไทยควรจัดตั้งกองทุนสำรองทางยุทธศาตร์ตามที่ IEA เสนอมาโดยมีคลังสำรองน้ำมันไว้ 90-200 วัน ซึ่งกระทรวงพลังงานอยู่ระหว่างศึกษา เพื่อป้องกันการขาดแคลน และลดความผันผวนของราคาจะทำให้ปรับราคาขึ้นลงไม่เร็วจนเกินไป แต่ปัจจุบันเป็นการสำรองน้ำมันของแต่ละบริษัท สัดส่วน 6% เวลา 40 วันซึ่งเป็นสต๊อกของเอกชน และการมีกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงที่ใช้ผิดวัตถุประสงค์ เป็นการ Cross Subsidy โดยเก็บเงินจากน้ำมันเบนซิน 95 มากซึ่งนำไปอุดหนุนน้ำมันดีเซล อย่างไรก็ตามเห็นว่าการมีกองทุนน้ำมันฯดีกว่าไม่มี
"วันนี้ เราใช้ oil fund เป็นลักษณะ cross subsidy ซึ่งใช้ผิดวัตถุประสงค์ แต่การไม่มีเครื่องมือที่ดีกว่านี้ แต่ครั้งนี้เป็นจังหวะดี เรื่องนี้ คสช.เข้ามาทำ oil fund หรือทำกองทุนสำรองทางยุทธศาตร์"นายไพรินทร์กล่าว
ส่วนประเด็น ปตท.ผูกขาดธุรกิจน้ำมันไม่เป็นจริง นายไพรินทร์ กล่าวว่า เป็นไปไม่ได้เพราะ ปตท.มีส่วนแบ่งตลาดเพียง 39% และมีผู้ค้าน้ำมันตามมาตรา 7 อยู่ 41 ราย อย่างไรก็ดีได้มีการหารือภายในผู้บริหารปตท.ที่จะศึกษาการเปลี่ยนแบรนด์ใหม่จากที่ปัจจุบันใช้"ปตท" อาจใช้แบรนด์"สามทหาร" หรือแยกธุรกิจค้าปลีกน้ำมันออกมาและนำเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์
"ทุกวันนี้ก๊าซในอ่าวไทยสามารถใช้ได้อีก 7 ปีเท่านั้น บมจ.ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม (PTTEP) จึงต้องเสาะแสวงหาเพิ่มเติมไม่เช่นนั้นไทยก็จะไม่มีความมั่นคงทางพลังงาน"