บริษัทมองว่าแนวโน้มธุรกิจในช่วงครึ่งปีหลังจะเติบโตได้ดีกว่าครึ่งปีแรก หลังจากคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.)ประกาศเดินหน้ากระตุ้นเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง ซึ่งจะมีผลต่อภาพรวมอุตสาหกรรมที่เกี่ยวเนื่องกับธุรกิจของบริษัท ไม่ว่าจะเป็นภาคอสังหาริมทรัพย์และภาคการก่อสร้างขนาดใหญ่ ประกอบกับ โดยปกติจะเป็นช่วง High season ของธุรกิจอยู่แล้ว ซึ่งจะมีออเดอร์ทยอยเข้ามาอย่างต่อเนื่อง
อีกทั้งบริษัทอยู่ระหว่างการติดตั้งเครื่องจักรเพื่อเพิ่มกำลังการผลิตอีก 30% เพื่อรองรับคำสั่งซื้อที่มีแนวโน้มจะเพิ่มขึ้น จากเดิมที่มีกำลังการผลิต 10,000-12,000 ตัน จะเพิ่มเป็น 14,000 ตัน โดยการติดตั้งเครื่องจักรน่าจะเสร็จสิ้นในเร็วๆนี้
นายธานินทร์ กล่าวอีกว่า บริษัทคาดว่ากำไรสุทธิปีนี้จะเติบโตราว 5% จากปีก่อนที่ทำได้ 129.63 ล้านบาท โดยจะยังคงรักษาอัตรากำไรสุทธิให้อยู่ในระดับ 13-15% และอัตรากำไรขั้นต้นสูงกว่า 23% โดยบริษัทเน้นการบริหารต้นทุนการดำเนินงานให้มีประสิทธิภาพ ขณะเดียวกันในช่วงที่ผ่านมาได้มีการปรับนโยบายในการขายหันมาแข่งขันด้านราคามากขึ้น ทำให้สามารถเพิ่มยอดขายได้เป็นจำนวนมาก
พร้อมกันนั้น บริษัทยังหันมารับงานติดตั้งท่อลมในระบบปรับอากาศ และเพิ่มกลุ่มผลิตภัณฑ์ท่อร้อยสายไฟใต้ดิน โดยจะช่วยเพิ่มส่วนแบ่งการตลาด(มาร์เก็ตแชร์)งานท่อร้อยสายไฟของตลาดในประเทศให้มากขึ้นด้วย ตั้งเป้ามาร์เก็ตแชร์ท่อร้อยสายไฟที่ 50% จากปีก่อนที่ 45%
สำหรับผลประกอบการไตรมาส 2/57 เชื่อว่าจะเติบโตดีกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อน และน่าจะใกล้เคียงกับไตรมาส 1/57 ทั้งรายได้และกำไร ซึ่งไตรมาสแรกมีรายได้ 248.94 ล้านบาท กำไรสุทธิ 35.85 ล้านบาท เนื่องจากมีสัญญาณการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ รวมถึงสถานการณ์ทางการเมืองเริ่มคลี่คลาย ส่งผลให้ภาคอุตสาหกรรมต่างๆมีความเชื่อมั่นในการลงทุนมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะภาคอสังหาริมทรัพย์ ทำให้คำสั่งซื้อของบริษัทฯดีขึ้นอย่างต่อเนื่องตั้งแต่เดือน พ.ค.57