สมาคมตลาดตราสารหนี้ไทย (ThaiBMA) สรุปภาวะตลาดตราสารหนี้ไทยวันนี้มีมูลค่าการซื้อขายรวม 87,603 ล้านบาท โดยประเภทของตราสารที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงที่สุด คือ พันธบัตรธนาคารแห่งประเทศไทย โดยมีมูลค่าการซื้อขายเท่ากับ 48,925 ล้านบาทหรือคิดเป็นสัดส่วน 55.8% ของมูลค่าการซื้อขายทั้งหมดที่เกิดขึ้นในวันนี้ ลำดับถัดมาคือ พันธบัตรรัฐบาล มีมูลค่าการซื้อขายเท่ากับ 25,448 ล้านบาท หรือคิดเป็นสัดส่วน 29.0% ทางด้าน หุ้นกู้เอกชน มีมูลค่าการซื้อขายเท่ากับ 2,588 ล้านบาท หรือคิดเป็น 3.0% ของมูลค่าการซื้อขายทั้งหมด
สำหรับ พันธบัตรรัฐบาล รุ่นที่นิยมซื้อขายสูงสุดในวันนี้คือ พันธบัตรรุ่น LB196A, LB17OA และ LB236A (รุ่นอายุ 5.0 ปี, 3.3 ปี และ 9.0 ปี ตามลำดับ) โดยมีมูลค่าการซื้อขายรวมกัน 20,420 ล้านบาท หรือคิดเป็น 80% ของมูลค่าการซื้อขายพันธบัตรรัฐบาลทั้งหมด ทางด้าน หุ้นกู้เอกชน รุ่นที่นิยมซื้อขายสูงสุด 3 อันดับแรกในวันนี้ คือ
1. หุ้นกู้ของบริษัท ไทยยูเนี่ยน โฟรเซ่น โปรดักส์ จำกัด(มหาชน)(TUF147A) มูลค่า 612.9 ล้านบาท
2. หุ้นกู้ของบริษัท ไออาร์พีซี จำกัด(มหาชน)(IRPC147A) มูลค่า 509.6 ล้านบาท
3. หุ้นกู้ของบริษัท ไทคอน อินดัสเทรียล คอนเน็คชั่น จำกัด(มหาชน)(TICON16DA) มูลค่า 406.8 ล้านบาท
โดยมีมูลค่าการซื้อขายรวมกัน 1,529.3 ล้านบาท หรือคิดเป็น 59.1% ของมูลค่าการซื้อขายหุ้นกู้เอกชนทั้งหมดในวันนี้
ทางด้านประเภทของนักลงทุน ที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงที่สุดเป็น 2 อันดับแรกในวันนี้ คือ
1. กลุ่มบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) มียอดซื้อสุทธิ เท่ากับ 2,896 ล้านบาท
2. กลุ่มบริษัทจดทะเบียนในประเทศ มียอดซื้อสุทธิ เท่ากับ 2,909 ล้านบาท
ในขณะที่นักลงทุนต่างชาติ มียอดซื้อสุทธิ เท่ากับ 5,048 ล้านบาท
ผลตอบแทนของพันธบัตรรัฐบาลอายุ 3 เดือน ปิดที่ 2.04% ไม่มีการเปลี่ยนแปลงจากเมื่อวาน และผลตอบแทนของพันธบัตรรัฐบาลอายุ 5 ปี ปิดที่ 3.14% ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากเมื่อวาน 0.02%
Yield Curve ปรับเพิ่มขึ้นในพันธบัตรรุ่น Benchmark อายุ 5 ปีที่ประมูลวันนี้ ประมาณ 2 bps. ซึ่งได้รับความสนใจจากนักลงทุน 2.43 เท่าของวงเงินประมูล โดยตลาดยังคงติดตามภาวะเศรษฐกิจโลก ซึ่งล่าสุดธนาคารโลก (World Bank) ได้ปรับลดคาดการณ์การขยายตัวของเศรษฐกิจโลกในปีนี้ลงสู่ระดับ 2.8% (จากที่เคยประเมินไว้ในเดือนม.ค.ที่ระดับ 3.2%) สำหรับนักลงทุนต่างชาติมียอดซื้อสุทธิ (NET BUY) เท่ากับ 5,048 ล้านบาท