ขณะที่บริษัทอยู่ระหว่างการเจรจาคำสั่งซื้อของลูกค้าใหม่ที่จะมีสัญญาส่งมอบในปี 59-60 คาดว่าจะสรุปได้ในราวเดือน ก.ย.-ต.ค.นี้ หากเป็นล็อตใหญ่ก็อาจทำให้บริษัทต้องขยายโรงงานเพื่อรองรับ
นายจุมพล เตชะไกรศรี ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ TKT เปิดเผยว่า บริษัทฯคาดรายได้ปีนี้จะลดลง 10-20% จากปีก่อนที่มีรายได้อยู่ที่ 1.9 พันล้านบาท และคาดว่ากำไรสุทธิจะต่ำกว่าปีก่อนที่มีกำไรอยู่ที่ 38.97 ล้านบาท เป็นไปตามยอดผลิตรถยนต์ในประเทศที่มองว่าจะลดลง 10-20% จากปีก่อนที่มียอดผลิตรถยนต์ในประเทศอยู่ที่ 2.45 ล้านคัน เห็นได้จากยอดผลิตรถยนต์ช่วงครึ่งปีแรกลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อนเกือบ 30% ส่วนหนึ่งเป็นผลกระทบมาจากสถานการณ์ทางการเมือง แต่อย่างไรก็ตาม ยังมีปัจจัยจากการส่งออกรถยนต์ที่คาดว่าจะอยู่ที่ 1.2 ล้านคัน เข้ามาช่วยพยุงรายได้ให้เติบโตได้
ขณะที่แนวโน้มไตรมาส 2/57 คาดว่ายอดขายและกำไรจะลดลงจากไตรมาส 1/57 ซึ่งมีรายได้ 419 ล้านบาท และกำไรสุทธิ 8 ล้านบาท เนื่องจากเป็นช่วงโลซีซั่นปกติของธุรกิจ เพราะมีวันหยุดจำนวนมาก อีกทั้งยังได้รับผลกระทบจากเหตุความวุ่นวายทางการเมือง ส่งผลให้ผู้บริโภคขาดความเชื่อมั่นและชะลอการซื้อรถด้วย
"ไตรมาส 2 ถือว่าเป็นช่วงโลว์ซีซั่นอยู่แล้วเพราะวันหยุดเยอะ เราคาดว่าทั้งยอดขายและกำไรจะไม่ดีเมื่อแทียบกับไตรมาสแรกที่ผ่านมา แต่ในขณะเดียวกันในช่วงเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา เราเริ่มเห็นสัญญาณคำสั่งซื้อของลูกค้าทยอยเข้ามา โดยมองว่าครึ่งปีหลังจะดีกว่าครึ่งปีแรก ซึ่งครึ่งปีหลังนี้จากการเมืองเริ่มคลี่คลายชัดเจนมากขึ้น จะส่งผลให้เกิดการจับจ่ายใช้สอยของภาคประชาชนเพิ่มขึ้น น่าจะทำให้มีการซื้อรถยนต์มากขึ้น หลังจากมีการชะลอการซื้อรถ แต่แม้ว่าครึ่งหลังจะดีแต่เมื่อมองภาพทั้งปีเราคาดว่ารายได้จะลดลง 10-20%" นายจุมพล กล่าว
นอกจากนี้ มองว่าภายใน 3-5 ปีบริษัทยังสามารถเติบโตไปได้อย่างต่อเนื่อง โดยขณะนี้อยู่ระหว่าการเจรจากับลูกค้าผู้ผลิตรถยนต์เพื่อรับคำสั่งซื้อชิ้นส่วนรถยนต์รองรับการผลิตรถยนต์ในปี 59-60 คาดว่าน่าจะได้ข้อสรุปในเดือน ก.ย.-ต.ค.นี้ ซึ่งหากได้รับคำสั่งซื้อชิ้นส่วนรถยนต์เข้ามาจำนวนมากหรือเกินกำลังการผลิตที่มีอยู่ บริษัทฯมีแผนในการขยายโรงงานเพิ่ม โดยคาดว่าจะใช้เงินลงทุนเฟสแรก ราว 200-300 ล้านบาท
ปัจจุบัน บริษัทใช้กำลังการผลิตอยู่ที่ 1,600-1,700 ล้านบาท จากกำลังการผลิตที่รองรับได้ทั้งหมด 2,200-2,300 ล้านบาท