ทั้งนี้ จากการที่ตลท.ได้เดินทางนำเสนอข้อมูล(โรดโชว์)ที่สิงคโปร์และฮ่องกงร่วมกับบริษัทจดทะเบียน 13 บริษัท มีทั้งบริษัทจดทะเบียนขนาดกลางและขนาดเล็กเมื่อเร็วๆ นี้ ปรากฎว่ามีกองทุนกว่า 65 แห่งเข้าร่วมเข้ารับฟังข้อมูล ซึ่งได้มีการสอบถามถึงเรื่องการทำรัฐประหารในประเทศไทย รวมทั้งผลกระทบต่อภาพรวมของประเทศไทยทั้งในด้านเศรษฐกิจและการลงทุนว่าจะเป็นอย่างไร
นางเกศรา กล่าวว่า ทาง ตลท.อธิบายถึงสถานการณ์ต่างๆว่า ประชาชนไทยมี Sentiment ที่ดีขึ้นหลังจากเกิดการทำรัฐประหาร เนื่องจากประชาชนไทยมองว่าเป็นสิ่งที่ทำให้ปัญหาด้านความขัดแย้งและการเมืองที่ไม่มีความชัดเจน ซึ่งยืดเยื้อมาตั้งแต่ช่วงปลายปีที่ผ่านมา ส่งผลให้นโยบายต่างๆมีการชะลอตัวออกไป ที่มีผลกระทบให้การเติบโตของเศรษฐกิจไทยไม่เป็นไปตามมองไว้ เมื่อมีการทำรัฐประหารทำให้สถานการณ์ต่างๆมีความชัดเจนและประเทศสามารถเดินต่อไปได้ ทั้งการดำเนินนโยบายทางเศรษฐกิจ รวมถึงการลงทุนด้านต่างๆที่จะออกมาตามแผนงานเดิม ประกอบกับมีการทำโรดแมพเพื่อเป็นแผนในการพัฒนาเศรษฐกิจ นอกจากนี้ยังสามารถเบิกจ่ายงบประมาณปี 58 ได้ตามแผน และมีแผนการปฎิรูปการเมืองที่ชัดเจน
ทาง ตลท.ได้อธิบายให้กับนักลงทุนได้เข้าใจถึงพื้นฐานที่แท้จริงของตลาดทุนและบริษัทจดทะเบียนของไทยที่มีความเข็งแกร่งและสามารถรับกับสถานการณ์เศรษฐกิจที่มีวิกฤตต่างๆได้อย่างมีศักยภาพ จะเห็นได้จากมูลค่าการซื้อขายในช่วงต้นเดือน มิ.ย.เพิ่มสูงขึ้นมาอยู่ที่ราว 5 หมื่นล้านบาท/วัน จากในเดือน พ.ค. ที่มีมูลค่าการซื้อขายเพียง 3.6 หมื่นล้านบาท/วัน และยังมีผลตอบแทนตั้งแต่ช่วงต้นปีที่ผ่านมาอยู่ในอันดับที่ 3 ของภูมิภาคโดยอยู่ที่ระดับ 12.9%
"การโรดโชว์ครั้งนี้ได้รับผลตอบรับเป็นอย่างดีต่อนักลงทุน และนักลงทุนต่างชาติก็ยืนยันด้วยว่าไม่มีข้อห้ามในการลงทุนในประเทศไทยขณะที่มีการรัฐประหารที่ไม่มีรัฐบาลที่เป็นประชาธิปไตย ซึ่งกองทุนส่วนใหญ่ก็ยืนยันว่าจะยังไม่มีการขายหุ้นไทยออกมา แต่จะมีการลงทุนแพิ่มเติมหรือไม่ก็ยังต้องรอดูก่อน ซึ่งการเข้าไปครั้งนี้มีคำถามมากว่าทำไมคนไทยมี Sentiment และตลาดหุ้นถึงดีขึ้นในขณะที่มีการทำรัฐประหาร เราก็บอกไปว่าหลังรัฐประหารแล้วทำให้ทิศทางของประเทศมีความชัดเจนมากขึ้นทั้งทางด้านการดำเนินนโยบายทางเศรษฐกิจและการใช้งบประมาณต่างๆ ช่วยให้แนวโน้มในครึ่งปีหลังเศรษฐกิจไทยจะกลับมาเติบโตดีกว่าครึ่งปีแรก และปี 58 ก็จะดีกว่านี้"นางเกศรา กล่าว