นายกมลธัญ พรไพศาลวิจิต ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยทองคำ เปิดเผยว่า แนวโน้มราคาทองคำในช่วงครึ่งปีหลังของปีนี้จะต่ำลง สวนทางกับการลงทุนในตลาดหุ้น เนื่องจากได้รับผลจากปัจจัยการดำเนินนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของสหรัฐและยุโรปที่จะทำให้เศรษฐกิจของทั้งสองประเทศฟื้นตัวขึ้น จึงทำให้นักลงทุนทยอยกลับไปลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงมากขึ้น อย่างไรก็ตาม ราคาทองคำได้ผ่านจุดต่ำสุดไปแล้วตั้งแต่เมื่อช่วงต้นปีที่ผ่านมา และคาดว่าราคาทองไม่น่าจะต่ำกว่าต้นทุนหน้าเหมืองที่ 1,032 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์
แต่ราคาทองคำยังมีปัจจัยบวกที่จะทำให้ไม่ปรับลดลงมาก จากปัญหาการเมืองในกลุ่มประเทศรัสเซียและจีน รวมถึงค่าเงินบาทที่มีแนวโน้มแข็งค่าขึ้น โดยคาดการณ์ราคาทองคำตลาดโลกในครึ่งปีหลังอยู่ที่ 1,100-1,500 ดอลลาร์สหรัฐ/ออนซ์ ส่งผลให้กรอบราคาทองคำในประเทศอยู่ที่บาททองคำละ 17,500-22,000 บาท ภายใต้สมมุติฐานค่าเงินบาทที่ระดับ 32 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ
ดังนั้น การลงทุนในช่วงที่เหลือของปี นักลงทุนทองคำควรเน้นลงทุนระยะสั้น เนื่องจากราคาทองยังผันผวน และมีแนวโน้มทรงตัวในระดับต่ำต่อไปอีก 1-2 ปี
"กรณีที่คณะรักษาความสงบแห่งชาติ หรือ คสช.ได้เตรียมจัดทำโรดแมปภาคเศรษฐกิจนั้น เชื่อว่าจะส่งผลดีต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนและภาคเอกชนให้กลับมาลงทุนมากยิ่งขึ้น ซึ่งจะส่งผลดีต่อภาวะเศรษฐกิจไทยในปีนี้ให้ขยายตัวได้ดีขึ้น และจะมีผลให้เงินต่างชาติไหลเข้า ทำให้เงินบาทแข็งค่าขึ้นได้ และจะส่งผลทางอ้อมให้ราคาทองคำในประเทศยังอยู่ในระดับต่ำ" นายกมลธัญ กล่าว