ทั้ง 3 กองทุนจะจ่ายเงินปันผลสำหรับผลการดำเนินงานตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม – 31 มีนาคม 2557 ให้กับผู้ถือหน่วยลงทุนที่มีชื่อในสมุดทะเบียนของวันที่ 9 มิถุนายน 2557 โดยกำหนดจ่ายปันผลพร้อมกันในวันที่ 17 มิถุนายน 2557 รวมมูลค่าเงินปันผลทั้งสิ้นกว่า 130 ล้านบาท
สำหรับกองทุนรวมสิทธิการเช่าอสังหาริมทรัพย์โรงแรมและรีสอร์ทในเครือเซ็นทารา (CTARAF) มีกำหนดจ่ายเงินปันผลในอัตรา 0.12 บาทต่อหน่วย คิดเป็นมูลค่าการจ่ายเงินปันผลรวม 38.4 ล้านบาท ซึ่งครั้งนี้นับเป็นการจ่ายปันผลครั้งที่ 20 ประจำไตรมาสที่ 1 ของปี 2557 แม้ว่าในช่วงครึ่งปีแรก อุตสาหกรรมโรงแรมจะได้รับผลกระทบบ้างจากปริมาณนักท่องเที่ยวที่ลดลงกว่า 30-40 % ซึ่งเป็นสาเหตุมาจากปัญหาทางการเมืองของไทย แต่เชื่อว่าในช่วงครึ่งปีหลังจากนี้ อุตสาหกรรมด้านการท่องเที่ยวน่าจะมีทิศทางที่ดีขึ้นจากการกระตุ้นเศรษฐกิจของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ และน่าจะส่งผลดีต่อเนื่องยังกลุ่มธุรกิจโรงแรมเช่นกัน
ด้านกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์เคพีเอ็น (KPNPF) มีกำหนดจ่ายปันผลในอัตรา 0.158 บาทต่อหน่วย คิดเป็นมูลค่าการจ่ายเงินปันผลรวม 28.44 ล้านบาท โดยกองทุน KPNPF เป็นอีกหนึ่งกองทุนที่มีความน่าสนใจ โดยกองทุนมีนโยบายการลงทุนในกรรมสิทธิ์ที่ดิน อาคารสำนักงาน และระบบสาธารณูปโภคของอาคารเคพีเอ็น ทาวเวอร์ บนถนนพระราม 9 ซึ่งปัจจุบันมีอัตราการเช่าพื้นที่ประมาณ 87 % โดยในปี 2556 กองทุนสามารถทำกำไรสุทธิได้ 79.225 ล้านบาท และมีการจ่ายปันผลรวมแล้วทั้งสิ้น 0.44 บาทต่อหน่วย หรือคิดเป็นอัตราการจ่ายปันผลเฉลี่ยประมาณ 6.35% ต่อปี และในปีนี้โครงการมีเป้าหมายที่จะเพิ่มอัตราการเช่าพื้นที่ และจะทยอยปรับอัตราค่าเช่าตามสัญญาที่จะหมดลง จึงคาดการณ์รายได้น่าจะเติบโตขึ้นอีกประมาณ 5-7% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา
สำหรับกองทุนรวมสิทธิการเช่าอสังหาริมทรัพย์เมเจอร์ซีนีเพล็กซ์ไลฟ์สไตล์ (MJLF) มีกำหนดจ่ายเงินปันผลในอัตรา 0.218 บาทต่อหน่วย คิดเป็นมูลค่าการจ่ายเงินปันผลรวม 71.94 ล้านบาท ทั้งนี้ ในปีที่ผ่านมา (ณ รอบวันที่ 1 มกราคม 2556 – 31 ธันวาคม 2556 ) กองทุนมีการจ่ายปันผลแล้วเป็นจำนวน 4 ครั้ง รวมมูลค่าเงินปันผลทั้งปีอยู่ที่ 0.99 บาทต่อหน่วย โดยกองทุน MJLF มีการลงทุนในสิทธิการเช่าอาคารโครงการเมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ รังสิต เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ รัชโยธิน และซูซกิ อเวนิว รัชโยธิน ปัจจุบันมีอัตราการเช่าพื้นที่อยู่ประมาณ 98% ของพื้นที่เช่าทั้งหมด โดยโครงการมีแนวโน้มการปรับขึ้นราคาค่าเช่าประมาณ 10% ในทุก ๆ 3 ปี หรือคิดเฉลี่ยต่อปีที่ประมาณ 3%
ด้านการลงทุนในกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ มองว่ายังมีความน่าสนใจ และเป็นอีกหนึ่งทางเลือกในการลงทุน โดยเฉพาะในจังหวะที่ตลาดหุ้นมีความผันผวน บวกกับดอกเบี้ยเงินฝากในประเทศอยู่ในช่วงขาลง ดังนั้น การกระจายความเสี่ยงในกองทุนอสังหาริมทรัพย์จึงน่าจะเป็นโอกาสที่ดีกับการลงทุนเพื่อทำกำไรในระยะยาว อีกทั้งยังมีรายได้อย่างสม่ำเสมอจากเงินปันผลตามนโยบายของกองทุนอีกด้วย