ภาวะตลาดตราสารหนี้ไทยประจำสัปดาห์: มีมูลค่าการซื้อขายรวม 417,203 ลบ.

ข่าวหุ้น-การเงิน Monday June 16, 2014 17:38 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

สมาคมตลาดตราสารหนี้ไทย (ThaiBMA) สรุปภาวะตลาดตราสารหนี้ประจำสัปดาห์(9 – 13 มิถุนายน 2557) ปริมาณการซื้อขายตราสารหนี้มีมูลค่ารวม 417,203 ล้านบาท หรือเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณวันละ 83,441 ล้านบาท ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากสัปดาห์ก่อนหน้าประมาณ 13% ทั้งนี้เมื่อแยกตามประเภทของตราสารแล้วจะพบว่ากว่า 65% ของมูลค่าการซื้อขายทั้งหมด หรือประมาณ 271,906 ล้านบาท เป็นการซื้อขายในตราสารหนี้ที่ออกโดยธนาคารแห่งประเทศไทย (State Agency Bond)ซึ่งส่วนใหญ่แล้วเป็นตราสารที่มีอายุคงเหลือค่อนข้างน้อย(ไม่เกิน 6 เดือน) ขณะที่พันธบัตรรัฐบาลที่ออกโดยกระทรวงการคลัง(Government Bond) มีมูลค่าการซื้อขายเท่ากับ 85,736 ล้านบาท และหุ้นกู้ที่ออกโดยภาคเอกชน(Corporate Bond)มีมูลค่าการซื้อขายเท่ากับ 10,902 ล้านบาท หรือคิดเป็น 21% และ 3% ของมูลค่าการซื้อขายทั้งหมดที่เกิดขึ้น ตามลำดับ

สำหรับพันธบัตรรัฐบาล รุ่นที่มีปริมาณการซื้อขายสูงที่สุด 3 อันดับแรกคือรุ่น LB196A (อายุ 5.0 ปี) LB155A(อายุ 0.9 ปี) และ LB176A(อายุ 3.0 ปี) โดยมีมูลค่าการซื้อขายในแต่ละรุ่นเท่ากับ 35,162 ล้านบาท 11,302 ล้านบาท และ 8,912 ล้านบาท ตามลำดับ ส่วนพันธบัตรที่ออกโดยธนาคารแห่งประเทศไทย รุ่นที่มีปริมาณซื้อขายสูงสุด 3 อันดับแรก คือรุ่น CB14702A (อายุ 15 วัน) CB14911B(อายุ 91 วัน) และ CB14624A(อายุ 14 วัน)มูลค่าการซื้อขายเท่ากับ 30,328 ล้านบาท 23,722 ล้านบาท และ 13,264 ล้านบาท ตามลำดับ

ขณะที่หุ้นกู้ภาคเอกชน ที่มีปริมาณการซื้อขายสูงที่สุด 3 อันดับแรก ได้แก่ หุ้นกู้ของบริษัท ไออาร์พีซี จำกัด(มหาชน)รุ่น IRPC147A (A-)มูลค่าการซื้อขาย 2,114 ล้านบาท หุ้นกู้ของบริษัท ไทยยูเนี่ยน โฟรเซ่น โปรดักส์ จำกัด(มหาชน) รุ่น TUF147A (AA-) มูลค่าการซื้อขาย 728 ล้านบาท และหุ้นกู้ของบริษัท อยุธยา แคปปิตอล ออโต้ ลีส จำกัด (มหาชน) รุ่น AYCAL14DA (A+) มูลค่าการซื้อขาย 418 ล้านบาท

เส้นอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาล (Yield Curve) เพิ่มสูงขึ้นในทุกช่วงอายุ ประมาณ +1 ถึง +7 Basis Point (100 Basis point มีค่าเท่ากับ 1%) หลังจากตัวเลขเศรษฐกิจล่าสุดของหลายๆประเทศยังแสดงให้เห็นถึงการฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับความคืบหน้าในการทำงานของทีมที่ปรึกษา คสช. ที่เพิ่มความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนทั้งในและนอกประเทศ ปัจจัยเหล่านี้ทำให้นักลงทุนลดสัดส่วนการถือครองสินทรัพย์ปลอดภัย เช่นตลาดพันธบัตร และโยกเงินเข้าไปลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงเพิ่มมากขึ้นส่งผลให้ราคาตราสารหนี้ปรับตัวลดลง(Yield เพิ่มขึ้น) อย่างไรก็ตาม นักลงทุนยังต้องติดตามการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.)ที่จะมีขึ้นในวันที่ 18 มิ.ย. เนื่องจากจะมีผลต่อทิศทางของอัตราดอกเบี้ยภายในประเทศ รวมถึงการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐฯ(FOMC) ที่จะมีขึ้นในวันที่ 17 – 18 มิ.ย. เนื่องจากจะมีการตัดสินใจเกี่ยวกับการดำเนินมาตรการ QE ซึ่งจะมีผลต่อการไหลเข้า-ออกของกระแสเงินทุนต่างชาติในช่วงระยะเวลาถัดไป

นักลงทุนต่างชาติมียอด ซื้อสุทธิ ในตราสารหนี้ทุกประเภท (ทั้งระยะสั้น และระยะยาว) รวมกัน 12,250 ล้านบาท โดยแบ่งเป็นการซื้อสุทธิในตราสารหนี้ระยะยาว 3,659 ล้านบาท และซื้อสุทธิในตราสารหนี้ระยะสั้น(อายุคงเหลือน้อยกว่า 1 ปี) 8,591 ล้านบาท ทางด้านนักลงทุนรายย่อยมียอดซื้อสุทธิ 489 ล้านบาท


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ