(เพิ่มเติม) SAPPE เคาะราคาขาย IPO ที่ 13.50 บ.เปิดจอง 18-20 มิ.ย.เข้าเทรด 25 มิ.ย.

ข่าวหุ้น-การเงิน Tuesday June 17, 2014 12:13 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายพงศ์ศักดิ์ พฤกษ์ไพศาล ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวาณิชธนกิจ บล.กสิกรไทย ในฐานะผู้จัดการการจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายหุ้น บมจ.เซ็ปเป้(SAPPE) เปิดเผยว่า หลังจากสำรวจความต้องการซื้อหุ้น (Book Building) ของนักลงทุนสถาบันเมื่อวันที่ 16 มิ.ย.ที่ผ่านมาจากช่วงราคาเสนอขายที่ 12.90-13.50 บาท/หุ้น ปรากฏว่านักลงทุนสถาบันได้แสดงความต้องการซื้อที่ราคาสูงสุดหุ้นละ 13.50 บาท โดยมีความต้องการซื้อหุ้นรวมคิดเป็น 18 เท่าของจำนวนหุ้นที่จะจัดสรรให้แก่นักลงทุนสถาบัน

ดังนั้น บล.กสิกรไทย และ SAPPE จึงกำหนดราคาหุ้นที่จะเสนอขายหุ้นให้กับประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO) ในราคาหุ้นละ 13.50 บาท โดยจะเปิดจองให้นักลงทุนซื้อหุ้นได้ในระหว่างวันที่ 18-20 มิ.ย.และคาดว่าจะเข้าซื้อขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย(SET)ในวันที่ 25 มิ.ย.นี้

ในวันนี้ SAPPE ลงนามในสัญญาแต่งตั้ง บล.กสิกรไทยเป็นผู้จัดการการจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายหุ้นสามัญเพิ่มทุนของบริษัทฯ รวมทั้งยังแต่งตั้งผู้ร่วมจำหน่ายหุ้นอีก 4 ราย ประกอบด้วย บล.ซีไอเอ็มบี (ประเทศไทย), บล.บัวหลวง, บล.ไทยพาณิชย์ และ บล.ธนชาต

ด้านนายประเสริฐ ภัทรดิลก กรรมการผู้อำนวยการ บริษัทแอดไวเซอรี่ พลัส จำกัด ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน กล่าวว่า หุ้น IPO ของ SAPPE จะได้รับการตอบรับที่ดีจากนักลงทุนสถาบันและนักลงทุนทั่วไป เนื่องจากปัจจัยพื้นฐานที่แข็งแกร่งของบริษัท โดยเป็นผู้สร้างสรรค์เครื่องดื่มระดับโลกที่ดำเนินธุรกิจผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์และเครื่องดื่มที่มุ่งเน้นนวัตกรรมเพื่อตอบโจทย์เรื่องสุขภาพและความงาม

สินค้าแบ่งออกเป็น 4 กลุ่มผลิตภัณฑ์หลัก ภายใต้ 13 ตราสินค้าที่จำหน่ายในประเทศ ได้แก่ 1.กลุ่มผลิตภัณฑ์ประเภทเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพและความงาม 2.ผลิตภัณฑ์ประเภทน้ำผลไม้ / เครื่องดื่มแต่งกลิ่นผลไม้ 3.ผลิตภัณฑ์ประเภทผงพร้อมชง เพื่อสุขภาพและความงาม และ 4.ผลิตภัณฑ์ประเภทเครื่องดื่มปรุงสำเร็จพร้อมดื่มเพื่อสุขภาพและความงาม นอกจากนี้ยังส่งออกไปจำหน่ายไปยัง 50 ประเทศทั่วโลก ทั้งทวีปเอเชีย เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ตะวันออกกลาง ยุโรป แอฟริกา อเมริกาเหนือ และอเมริกาใต้ โดยเป็นการจำหน่ายผ่านคู่ค้า ตัวแทนจำหน่าย ตัวแทนนำเข้าสินค้า ผู้ค้าปลีกและร้านค้าย่อยในช่องทางจัดจำหน่ายต่างๆ

ทั้งนี้ SAPPE จะเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนทั้งสิ้น 75 ล้านหุ้น คิดเป็นร้อยละ 25 ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและเรียกชำระแล้วทั้งหมดของบริษัท ภายหลังการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุน ซึ่งปัจจุบันบริษัทมีทุนจดทะเบียนจำนวน 304.62 ล้านบาท โดยทุนที่ออกจำหน่ายและชำระแล้วมีจำนวน 225 ล้านบาท คิดเป็น 225 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1 บาท และเงินที่ได้จากการระดมทุนครั้งนี้จะนำไปใช้ขยายกำลังการผลิตเครื่องบรรจุน้ำและการผลิตขวด PET รองรับแผนขยายธุรกิจต่อไปในอนาคต ส่วนที่เหลือนำไปชำระเงินกู้และเป็นเงินทุนหมุนเวียนในบริษัทต่อไป

ขณะที่นายอดิศักดิ์ รักอริยะพงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร SAPPE กล่าวว่า บริษัทมีนโยบายสร้างสรรค์แบรนด์‘เซ็ปเป้’และแบรนด์อื่นๆ ไปสู่การเป็นเครื่องดื่มชั้นนำระดับโลก โดยให้ความสำคัญกับการสร้างความแปลกใหม่ในด้านนวัตกรรมให้แก่วงการเครื่องดื่ม ทั้งรสชาติสินค้าและบรรจุภัณฑ์ ภายใต้กระบวนการผลิต การวิจัย ช่องทางจำหน่ายหลากหลาย เพื่อรุกทำตลาดทั้งในต่างประเทศและในประเทศ โดยแบรนด์‘เซ็ปเป้’มีความแข็งแกร่งและได้รับการยอมรับจากผู้บริโภคทั้งด้านคุณภาพสินค้าและเกิดความภักดีต่อแบรนด์ ทำให้เครื่องดื่มแบรนด์‘เซ็ปเป้ บิวติ ดริ้งค์’ครองส่วนแบ่งตลาดเป็นเบอร์ 1 ของตลาดฟังก์ชันนัลดริ้งค์สำหรับผู้หญิงในประเทศไทย และน้ำผลไม้ผสมวุ้นมะพร้าวแบรนด์‘โมกุ โมกุ’ ที่ประสบความสำเร็จได้รับการยอมรับจากผู้บริโภคทั่วโลก

แนวโน้มเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพและความงามของไทยพบว่า ตลาดเครื่องดื่มฟังก์ชันนัลดริ้งค์ของผู้หญิง ตลาดน้ำผลไม้และตลาดกาแฟฟังก์ชันนัลที่ช่วยควบคุมน้ำหนัก ซึ่งเป็นตลาดที่บริษัท มีผลิตภัณฑ์ทำตลาดอยู่นั้นพบว่ามีการเติบโตที่ดีมาก จากปัจจัยที่ผู้ประกอบการแข่งขันนำเสนอสินค้านวัตกรรมสินค้าใหม่ๆ เข้าสู่ตลาดอย่างต่อเนื่อง เพื่อรองรับกับพฤติกรรมผู้บริโภคที่ให้ความสำคัญกับการดูแลสุขภาพตัวเองมากขึ้น

ส่วนผลการดำเนินงานในไตรมาส 1/57 บริษัทมีรายได้รวมจากการขาย 774 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 302.79 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 64.26% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้จากการขายรวม 471.21 ล้านบาท ส่วนกำไรสุทธิทำได้ 146 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 122.49 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 449% เมื่อเทียบงวดเดียวกันปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 26.60 ล้านบาท ซึ่งการเติบโตมาจากยอดขายจาการส่งออกที่เพิ่มขึ้นและค่าเงินบาทที่อ่อนค่าลง มีผลต่อความสามารถทำกำไรที่ดี เนื่องจากสามารถประหยัดต่อขนาด หรือ Economy of Scale จากการผลิตจำนวนมากตามยอดขายที่เพิ่มสูงขึ้น และความสามารถในการควบคุมต้นทุนการผลิตได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

“เราตั้งเป้าหมายที่จะสร้างแบรนด์สินค้าของคนไทยให้เติบโตอย่างแข็งแกร่งในตลาดโลก โดยเน้นพัฒนาสินค้าใหม่ๆ และบรรจุภัณฑ์ที่ทันสมัย มีความโดดเด่น ภายใต้นโยบายสินค้าที่มีคุณภาพ เป็นทางเลือกใหม่ๆ ให้แก่ผู้บริโภค ซึ่งเชื่อว่าแนวทางดังกล่าว จะทำให้เราสามารถเติบโตได้อย่างแข็งแกร่งต่อไปในอนาคต" นายอดิศักดิ์ กล่าว


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ