วัตถุประสงค์ในการควบรวมกิจการ นอกจากจะเพิ่มความแข็งแกร่งของฐานะทางการเงิน ซึ่งเป็นผลจากการเข้าซื้อกิจการโดยการออกหุ้นสามัญเพิ่มทุนของ PF แล้ว ยังเป็นก้าวสำคัญในการขยายธุรกิจเพื่อเพิ่มความมั่นคงของกระแสรายได้จากธุรกิจอาคารสำนักงานให้เช่าและโรงแรม ลดความเสี่ยงจากการพึ่งพารายได้จากธุรกิจใดธุรกิจหนึ่ง
นอกจากนี้ ยังส่งผลให้มีสัดส่วนของมูลค่าสินทรัพย์และรายได้ที่มีความหลากหลายเพิ่มมากขึ้น ทั้งโครงการแนวราบ คอนโดมิเนียม คอนโดกลางใจเมือง สำนักงานให้เช่า และโรงแรม โดยภายหลังการซื้อกิจการ บริษัทจะมีการจัดวางโครงสร้างใหม่ เพิ่มส่วนของอสังหาริมทรัพย์เพื่อการเช่า ซึ่งการผนึกกำลังของทีมผู้บริหารจะช่วยเพิ่มศักยภาพในการดำเนินงานได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
แผนการเข้าซื้อ TPROP ดังกล่าว PF จะใช้วิธีการแลกหุ้น (Share Swap) มูลค่า 1,800 ล้านบาท โดยได้ส่วนของผู้ถือหุ้น TPROP มา 4,789 ล้านบาท ทั้งนี้ PF จะเข้าทำคำเสนอซื้อหลักทรัพย์ทั้งหมดจากผู้ถือหุ้นของ TPROP โดยการเสนอหุ้นสามัญเพิ่มทุนของ PF เป็นค่าตอบแทนให้กับผู้ถือหุ้น TPROP ในอัตราการแลกหุ้น 1.00 หุ้นของ TPROP ต่อ 0.50 หุ้นของบริษัทฯ หรือชำระเป็นตัวเงินในราคาหุ้นละ 0.57 บาท
และหากการเข้าซื้อกิจการ TPROP เป็นผลสำเร็จ จะทำให้ PF เข้าไปมีอำนาจควบคุมอย่างมีนัยสำคัญโดยอ้อม (Chain Principle) ใน บมจ. แกรนด์ แอสเสท โฮเทลส์ แอนด์ พรอพเพอร์ตี้ (GRAND) ส่งผลให้ PF มีหน้าที่เข้าทำคำเสนอซื้อหลักทรัพย์ทั้งหมดของ GRAND โดยมีค่า ตอบแทนเป็นหุ้นสามัญเพิ่มทุนของ PF ในอัตราการแลกหุ้น 1.00 หุ้นของ GRAND ต่อ 1.149123 หุ้นของ PF หรือชำระเป็นตัวเงินในราคาหุ้นละ 1.31 บาท
ทั้งนี้ การดำเนินการตามแผนการเข้าซื้อกิจการดังกล่าวข้างต้น จะต้องได้รับการอนุมัติจากที่ประชุมผู้ถือหุ้นของบริษัทฯก่อน ซึ่งจะจัดขึ้นในวันที่ 29 กรกฎาคม 2557 นี้
ปัจจุบัน TPROP ลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ ประกอบด้วย อาคารสำนักงานให้เช่า 2 แห่ง บนถนนสุขุมวิท ได้แก่ อาคารวัน แปซิฟิค เพลส และ อาคารทู แปซิฟิค เพลส ภายใต้การบริหารจัดการของบริษัท แปซิฟิค เอสเตท ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของ TPROP
รวมทั้งมีการลงทุนใน GRAND กว่า 40% โดย GRAND ดำเนินธุรกิจโรงแรม จำนวน 4 แห่ง ได้แก่ โรงแรม เดอะ เวสทิน แกรนด์ สุขุมวิท, โรงแรมเชอราตัน หัวหิน รีสอร์ท แอนด์ สปา, โรงแรมเชอราตัน หัวหิน ปราณบุรี วิลล่า และ โรงแรมไฮแอท รีเจนซี่ กรุงเทพ ที่อยู่ระหว่างการก่อสร้าง และยังมีคอนโดมิเนียมอีก 2 โครงการ คือ ไฮด์ สุขุมวิท ซึ่งอยู่ระหว่างการขายและโอนกรรมสิทธิ์ ซึ่งจะรับรู้รายได้ภายในปีนี้ 5,000 ล้านบาท และโครงการใหม่ ไฮด์ สุขุมวิท 2
หลังจากที่ทางบริษัทฯเข้าซื้อกิจการ TPROP ได้สำเร็จ บริษัทฯก็ยังมีการมองหาโอกาสที่จะหาพันธมิตรเพื่อลงทุนใน บริษัท กรุงเทพบ้านและที่ดิน เพื่อที่จะเป็นการเพิ่มศักยภาพในการเติบโตในอนาคต
"เราไม่ได้ปิดโอกาสในการเข้าซื้อกิจการอื่นๆอีก เพื่อที่จะเป็นการเพิ่มศักยภาพในการเข็งขัน และรองรับการเติบโตในอนาคตอย่างต่อเนื่อง ร่วมถึงการเพิ่มธุรกิจใหม่ๆเพื่อที่จะเป็นการกระจายความเสี่ยง จะเห็นได้จากการเข้าซื้อกิจการของ TPROP ช่วยเพิ่มธุรกิจใหม่อีก 1 สายธุรกิจเดิม จากที่เดิมมีธุรกิจอยู่ 4 สายงาน"นายชายนิด กล่าว
สำหรับทิศทางในอนาคตบริษัทมีแผนการพัฒนาและขายอสังหาริมทรัพย์เพื่อรับรู้กำไรล่วงหน้า ด้วยการจัดตั้งเป็นกองทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์(REIT)โดยมีแผนนำศูนย์การค้า 2 แห่ง ได้แก่ เมโทร เวสต์ทาวน์ และ เมโทร อีสต์ทาวน์ มูลค่ารวม 1,800 ล้านบาท จัดตั้งเป็นกองทุนฯ รวมทั้งมีแผนจัดพอร์ตการลงทุนในธุรกิจโรงแรม โดยนำ คิโรโระ รีสอร์ท โรงแรมในประเทศญี่ปุ่น, โรงแรมเชอราตัน หัวหิน รีสอร์ท แอนด์ สปา และ เชอราตัน หัวหิน ปราณบุรี วิลล่า รวมมูลค่ารวม 3,700 ล้านบาท จัดตั้งเป็นกองทุนฯ ด้วย
"บริษัทตั้งเป้าที่จะตั้งกอง REIT อย่างน้อยปีละ 1 กอง ตั้งแต่ปี 58-60...นอกจากการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ เพื่อขายและเช่านั้น เราจะมีการออกกอง REIT เพื่อที่จะทำให้ภาพรวมมีรายได้ในทางอื่นๆเข้ามาเพื่อที่จะให้บริษัทมีความน่าสนใจมากกว่าเดิม"นายชายนิด กล่าว
นายชายนิด กล่าวว่า นับจากนี้บริษัทตั้งเป้าการเติบโตของรายได้ปีละไม่ต่ำกว่า 20% และจะรักษาอัตรากำไรสุทธิให้อยู่ในระดับที่ไม่ต่ำกว่า 12% สูงขึ้นจากปีนี้ที่คาดว่าอัตรากำไรสุทธิจะอยู่ที่ราว 10% ภายใต้คาดการณ์รายได้ที่ 2.2 หมื่นล้านบาท โดยมั่นใจว่าจะทำให้ตามที่คาดไว้ แม้ว่าช่วงไตรมาส 1/57 จะมีอัตรากำไรสุทธิเพียง 2.68%
ทั้งนี้ หลังจากที่บริษัทได้มีการปรับโครงสร้างโดยการขายสินทรัพย์ที่ไม่ใช่ธุรกิจหลักออกไป ส่งผลให้สัดส่วนที่ดินสำหรับรอพัฒนาลดลงมาอยู่ที่ 19% และอีก 3 ปีตั้งเป้าที่จะลดลงให้อยู่ในระดับ 14-15% จากปัจจุบันอยู่ที่ 25% ส่วนที่เหลือแบ่งที่ดินที่พัฒนาโครงการบ้านเดี่ยว บ้านแฝด ทาวเฮ้าส์ 30% อาคารชุด 33% โรงแรม 13% และอาคารสำนักงาน ศูนย์การค้า 5%
"เราตั้งเป้าที่จะรักษารายได้ให้อยู่ที่ระดับไม่ต่ำกว่า 2 หมื่นล้าน และมีการเติบโตเฉลี่ยไม่ต่ำกว่า 20% ในขณะเดียวกันแนวโน้มอัตรากำไรสุทธิจะปรับตัวเพิ่มสูงขึ้น ซึ่งมาจากการปรับเปลี่ยนโครงสร้างรายได้ของบริษัทฯ รวมถึงการขายที่เปล่าที่เป็นสินทรัพย์ที่ไม่ใช่ธุรกิจหลัก ช่วยให้ลดภาระดอกเบี้ยของเราลงได้อย่างมีประสิทธิภาพ" นายชายนิด กล่าว
นายชายนิด กล่าวว่า แผนขายทรัพย์สินที่ไม่ธุรกิจหลักมูลค่าราว 3.5 พันล้านบาทคาดว่าจะสามารถดำเนินการได้แล้วเสร็จสิ้นและเข้ามาบันทึกเป็นรายได้ทั้งหมดในช่วงครึ่งปีหลัง ซึ่งจะมีการขายที่ดินทั้งหมด 4 แปลง ปัจจุบันมีการเซ็นสัญญาและรอโอนแล้ว 2 แปลง คือที่ดินย่านสุขุมวิท 17 ไร่ และแจ้งวัฒนะ 110 ไร่ ส่วนที่ดินในกรุงเทพกรีฑา ปัจจุบันอยู่ระหว่าเจรจา ซึ่งมีผู้สนใจอยู่ 2 ราย
ส่วนโครงการที่จังหวัดเชียงใหม่เป็นหอพัก ยูนิ ลอฟท์ มูลค่า 500 ล้านบาท คาดว่าจะขายเป็นสินทรัพย์ให้กับกอง REIT ประมาณไตรมาส 3/57 หรือไตรมาส 4/57 นี้ ซึ่งการขายสินทรัพย์ทั้ง 4 แปลงนี้จะมีอัตรากำไรขั้นต้นเฉลี่ยอยู่ที่ 35%
นายชายนิด กล่าวเพิ่มอีกว่า ปัจจุบันบริษัทฯอยู่ระหว่างเจรจาหาพันธมิตร จากประเทศ ญี่ปุ่น 2 ราย และสหรัฐฯ 2 ราย เพื่อที่จะเข้ามาลงทุนและร่วมในการจัดการบริหาร ในโครงการคิโรโระ รีสอร์ท ซึ่งเป็นโรงแรมในประเทศญี่ปุ่น โดยคาดว่าจะได้ข้อสรุปในช่วงครึ่งปีหลังนี้
"เราอยู่ระหว่างเจรจาหาพันธมิตร เพื่อที่จะเข้ามาช่วยในการบริหารจัดการ และช่วยหานักท่องเที่ยวเพิ่ม รวมถึงการหาผู้ร่วมในการลงทุนเพิ่มเติม ซึ่งปัจจับุนเราคุยอยู่ 4 ราย ซึ่งในช่วงครึ่งปีหลังคงจะได้เห็นความชัดเจนมากขึ้น ซึ่งจะเป็นสิ่งที่ช่วยให้ผลประกอบการของคิโรโระดีขึ้นและกลับมาเทิร์นอะราวด์ได้"นายชายนิด กล่าว