(เพิ่มเติม) เครือสหพัฒน์ คาดยอดขายรวมปี 57 ใกล้ปีก่อนที่ 1.5 แสนลบ.เดินหน้าลุย AEC

ข่าวหุ้น-การเงิน Thursday June 26, 2014 14:25 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

เครือสหพัฒน์ คาดว่ายอดขายรวมในปี 57 ใกล้เคียงปีก่อนที่มียอดขายราว 1.5 แสนล้านบาท แม้ว่าครึ่งปีแรกจะไม่ค่อยดีนัก แต่เชื่อว่าในครึ่งปีหลังสถานการณ์ภาพรวมการอุปโภคบริโภคจะปรับตัวดีขึ้น ขณะที่เครือสหพัฒน์ตั้งงบลงทุน 2 พันล้านบาทในช่วงปี 57-58 เพื่อขยายธุรกิจทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยมุ่งเน้นรองรับการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน(AEC) ซึ่งล่าสุดบริษัทได้เข้าร่วมทุนกับพันธมิตรท้องถิ่นและพันธมิตรต่างประเทศราว 500-600 ล้านบาทในโรงงานผลิตผงซักฟอกที่ประเทศพม่า

"คาดว่าธุรกิจครึ่งปีหลังดีกว่าครึ่งปีแรกแน่นอน ณ วันนี้ยังไม่ค่อยดี ถ้าความเชื่อมั่นผู้บริโภคดีก็ไปได้ ...ยอดขายปีนี้น่าจะเท่ากับปีที่แล้ว ถ้าครึ่งปีหล้งดีขึ้น"นายบุญยสิทธิ์ โชควัฒนา ประธานเครือสหพัฒน์ กล่าวหลังเปิดงาน The 18th SAHA GROUP FAIR วันนี้ถึงวันที่ 29 มิ.ย.

นายบุณยสิทธิ์ กล่าวว่า ก่อนหน้านี้ เครือสหพัฒน์คาดว่ายอดขายในปีนี้จะโตมาเป็น 1.9 แสนล้านบาท แต่ยอดขายในไตรมาส 1 และไตรมาส 2 ยังไม่ปรับตัวดีขึ้น แต่หลังจากที่มีการเปลี่ยนแปลงการเมืองโดยคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) เข้ามาบริหารแทนรัฐบาลทำให้ภาคธุรกิจเกิดความมั่นใจ โดยในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมาให้คะแนนการทำงานของคสช.เต็ม 10 เพราะสามารถจัดการปัญหาและการบริหารที่ล่าช้าจากรัฐบาลก่อนหน้าได้เสร็จเรียบร้อย ช่วยทำให้ความมั่นใจทางธุรกิจกลับคืนมาและคาดว่าครึ่งปีหล้งเศรษฐกิจจะฟื้นตัวดี

พร้อมกันนั้น ยังเร่งรัดให้ คสช.ช่วยผลักดันการส่งออกให้มากขึ้นโดยเฉพาะสินค้าเกษตร และอยากเห็นเงินบาทอ่อนค่ากว่านี้

นายบุญยสิทธิ์ กล่าวว่า เครือสหพัฒน์เตรียมขยายธุรกิจมุ่งไปที่กลุ่มประเทศอาเซียนมากขึ้น โดยเฉพาะในพม่า กัมพูชา และลาว รองรับกับการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) ในปี 58 ที่จะมีตลาดรวมเป็นหนึ่งเดียว ทั้งนี้เครือสหพัฒน์ได้ร่วมทุนกับญี่ปุ่นและพันธมิตรท้องถิ่นในพม่า ถือหุ้นฝ่ายละ 30 กว่า% ร่วมลงทุนตั้งโรงงานผลิตผงซักฟอก มูลค่าลงทุน 500-600 ล้านบาท คาดจะเริ่มผลิตและขายได้ในปีหน้า

รวมทั้งยังมีความร่วมมือด้านโลจิสติกส์ในพม่า โดยวันนี้ได้มีการลงนามในสัญญาร่วมทุนในบริษัท Tiger Distribution&Logistics (MYANMAR) Company Limited ระหว่าง เอ็ม เค กรุ๊ป และ กลุ่มสหพัฒน์โดยถือหุ้นฝ่ายละ 50%

ส่วนในเวียดนามได้ส่งตัวแทนจำหน่ายเข้าไปดูตลาด เพราะในเวียดนามมีการแข่งขันสูง จึงเห็นว่าควรจะให้สินค้ากลุ่มสหพัฒน์ติดตลาดก่อนค่อยเข้าไปลงทุนตั้งโรงงานผลิตจะดีกว่า ขณะที่ในลาวมีประชากรน้อย บริษัทมีตัวแทนจำหน่ายเท่านั้น ทั้งนี้ เครือสหพัฒน์คาดว่าสัดส่วนยอดขายจากกลุ่ม AEC น่าจะเพิ่มขึ้นมามีนัยสำคัญถึง 40-50% ในช่วง 5-10 ปึ จากปัจจุบันมีสัดส่วนราว 10%

ทั้งนี้ ในช่วง 57-58 เครือสหพัฒน์ตั้งงบลงทุนไว้ 2 พันล้านบาทสำหรับในประเทศและต่างประเทศ โดยนอกเหนือที่ให้ความสำคัญการลงทุนในกลุ่ม AEC แล้ว เครือสหพัฒน์ก็จะขยายการลงทุนในประเทศด้อยพัฒนาในการเข้าลงทุนผลิตผงซักฟอก บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป ในบังคลาเทศ ซึ่งสามารถส่งต่อไปที่ประเทศอินเดียได้ และฮังการี ได้ลงทุนโรงงานผลิตบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป นอกจากนี้ เครือสหพัฒน์ยังมีการเจรจาร่วมทุนกับต่างประเทศ โดยเฉพาะ ญี่ปุ่น จีน มีอยุ่หลายดีลแต่ยังไม่สามารถเปิดเผยได้ โดยนักลงทุนญี่ปุ่นเป็นพันธมิตรที่ดีของเครือสหพัฒน์

ล่าสุด เครือสหพัฒน์ได้ลงนามข้อตกลงกับ บริษัท MARUSAN-AI จำกัด เพื่อผลิตนมถั่วเหลือง โดยมารูซันเป็นยักษ์ใหญ่ด้านการผลิตผลิตภัณฑ์ถั่วเหลืองของโลกจากญี่ปุ่น ที่มีสูตรลับการเผลิตดั้งเดิมกว่า 65 ปี และปัจจุบันเป็นที่นิยมและขายดีในประเทศญี่ปุ่นมากกว่า 45 ปี มีนมถั่วเหลือง 3 รสชาติ สูตรแจเปนนีสสไตล์ สูตรผสมชาเขียวมัทฉะ และ สูตรผสมชา

นายบุญยสิทธิ์ ยังกล่าวว่า นอกเหนือจากการขยายลงทุนธุรกิจด้านการผลิต เครือสหพัฒน์ยังได้มองการขยายธุรกิจไปสู่ภาคบริการให้มากขึ้นโดยจะร่วมทุนกับต่างชาติ โดยมีพันธมิตรจากจีน และญี่ปุ่นเข้ามาติดต่อ

ธุรกิจด้านการบริการที่เครือสหพัฒน์ได้ดำเนินการแล้วได้แก่ หลักสุตรร่วมมือกับประเทศญี่ปุ่นด้านวิชาการแฟชั่น ร่วมมือกับวิทยาลัยบุนกะแฟชั่น และหลักสูตรภาษาและวัฒนธรรมญี่ปุ่น ร่วมกับมหาวิทยาลัยวาเซดะ ตลอดจนธุรกิจด้านการบินภายใต้บริษัท ศรีราชาเอวิเอชั่น จำกัด ซึ่งได้รับใบอนุญาตจัดตั้งโรงเรียนเอกชนนอกระบบประเภทวิชาชีพ กระทรวงศึกษาธิการ (หลักสูตรโรงเรียนการบิน)

ด้านนายบุญเกียรติ โชควัฒนา กรรมการผู้อำนวยการและประธานกรรมการบริหาร บมจ.ไอ.ซี.ซี อินเตอร์เนชั่นแนล (ICC) ในฐรนะประธานจัดงานสหกรุ๊ปแฟร์ กล่าวว่า หลังจากที่คสช.เข้ามามีบทบาทในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสร้างความปรองดองให้เกิดขึ้นในประเทศไทย ส่งผลให้สถานการณ์เศรษฐกิจของไทยในขณะนี้เริ่มมีสัญญาณฟื้นตัว บรรยากาศการค้าการลงทุนและการส่งออกเริ่มคึกคักขึ้น ขณะเดียวกันผู้บริโภคต่างก็มีความเชื่อมั่นมากขึ้น ส่งผลให้ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเพิ่มสูงสุดในรอบ 14 เดือน ปัจจัยเหล่านี้ส่งผลดีต่อการจัดงานสหกรุ๊ปแฟร์ ครั้งที่ 18 เป็นอย่างมาก

เครือสหพัฒน์คาดว่าจะมีผู้ซื้อทั้งชาวไทยและต่างชาติมาร่วมเจรจาการค้ากว่าร้อยราย และคาดว่าจะมีประชาชนที่สนใจเข้ามาร่วมงานกว่า 1 ล้านคน เกิดการจับจ่ายใช้สอยกว่า 300 ล้านบาท


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ