สำหรับโครงการดังกล่าวขณะนี้อยู่ในขั้นตอนการว่าจ้างที่ปรึกษาควบคุมงาน(CSC) และเตรียมประกวดราคาคัดเลือกผู้รับเหมาตามแผนจะก่อสร้างในเดือน ธ.ค.57 โดยสามารถปรับแผนงานให้แล้วเสร็จภายในระยะเวลา 58 เดือนได้ แม้ว่าตามแผนเดิม ทอท.กำหนดประกาศประกวดภายในเดือน พ.ค.57 และเริ่มงานก่อสร้างเดือน ธ.ค.57 โครงการจะเสร็จสิ้นพร้อมเปิดให้บริการได้ในปี 60 ดังนั้น ถือว่าปัจจุบันโครงการพัฒนาท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ เฟส 2 เริ่มล่าช้ากว่าแผนงานที่วางไว้แล้ว
ส่วนของการให้บริการยังเป็นไปตามปกติ โดย ทอท.สามารถบริหารจัดการท่าอากาศยาน 2 แห่ง คือ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิกับท่าอากาศยานดอนเมืองให้สามารถรองรับผู้โดยสารได้อย่างเพียงพอ แม้ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิจะเต็มความสามารถในการรองรับแล้วก็ตาม แต่แนวโน้มอัตราการเติบโตของผู้โดยสารน้อยกว่าท่าอากาศยานดอนเมือง
นายเมฆินทร์ กล่าวว่า ในเดือน พ.ค.ที่ผ่านมาจำนวนผู้โดยสารที่สุวรรณภูมิลดลงเกือบ 10% ส่วนดอนเมืองเพิ่มขึ้น 20-25% โดยประเมินว่าการดำเนินงานงวดไตรมาส 3/57(เม.ย.-มิ.ย.) จำนวนผู้โดยสารจะลดลงเกือบ 7% จากผลกระทบการชุมนุมและปัญหาการเมืองในประเทศ ประกอบกับ เป็นช่วงนอกฤดูท่องเที่ยว(Low Season) ด้วย ส่วนงวดไตรมาส 4/57(ก.ค.-ก.ย.) แม้จะยังเป็นช่วง Low Season แต่เชื่อว่าการเดินทางของผู้โดยสารจะเริ่มดีขึ้น ถึงจะยังไม่เข้าสู่ภาวะปกติ 100% ก็ตาม
ทั้งนี้ ภาพรวมในช่วงเดือน ต.ค.56-พ.ค.57 อัตราการเติบโตผู้โดยสารทุกสนามบินของ ทอท.เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนประมาณ 4.2% อยู่ที่ 60.34 ล้านคน แบ่งเป็นผู้โดยสารภายในประเทศ 24.58 ล้านคน เพิ่มขึ้น 14.28% ผู้โดยสารระหว่างประเทศ 35.75 ล้านคน ลดลง 1.84% และมีปริมาณเที่ยวบินรวม 419,363 เที่ยวบิน เพิ่มขึ้น 13.2% แบ่งเป็นเที่ยวบินภายในประเทศ 193,093 เที่ยวบิน เพิ่มขึ้น 18.48% เที่ยวบินระหว่างประเทศ 226,270 เที่ยวบิน เพิ่มขึ้น 9.02%
ขณะที่ทั้งปี 57 ประเมินว่าผู้โดยสารจะเติบโตที่ 2-3% ซึ่งรายได้จะเติบโตตามผู้โดยสาร และเชื่อว่าจะมีรายได้สูงกว่าปีก่อนแน่นอน โดยจากสถานการณ์ที่เกิดขึ้น ทำให้มีการกำหนดแคมเปญต่างๆ เพื่อจูงใจสายการบินในท่าอากาศยานภูมิภาคของ ทอท.ทั้งกรณีการเปิดเส้นทางใหม่หรือการเพิ่มเที่ยวบิน เพื่อรักษาผลประกอบการให้ดีที่สุด ซึ่งที่ผ่านมากรณีเกิดแผ่นดินไหวที่เชียงราย และมีการลอบวางระเบิดที่หาดใหญ่ ส่งผลทำให้แคมเปญท่องเที่ยวต่างๆ ที่วางไว้ไม่ได้ผลเท่าที่ควร จึงต้องปรับลดค่าใช้จ่ายควบคู่ไปด้วยประมาณ 5-10% ตามความจำเป็นและความสำคัญของงานนั้นๆ โดยต้องไม่กระทบต่อความปลอดภัย