ตั้งแต่ก่อตั้งตลาด mai มีบริษัทเข้ามาจดทะเบียนแล้วจำนวน 116 บริษัท โดยมีส่วนหนึ่ง 15 บริษัทย้ายไปจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ (SET)รวมถึงบริษัทที่ถอนตัวออกจากการเป็นบริษัทจดทะเบียนอีกจำนวนหนึ่ง ทำให้ปัจจุบันคงเหลือบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ mai ทั้งสิ้น 98 บริษัท โดยมีการเติบโตของมูลค่าตามราคาตลาด(มาร์เก็ตแคป) เป็น 234,000 ล้านบาท จาก 400 ล้านบาท ที่เริ่มก่อตั้งเมื่อ 15 ปี ขณะเดียวกันปริมาณการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันอยู่ที่ 1,300 ล้านบาท จากเริ่มก่อตั้งที่ 27 ล้านบาท
นายเกศรา กล่าวว่า การเดินทางไปนำเสนอข้อมูล(โรดโชว์)ของตลาดหลักทรัพย์ mai ที่ผ่านมา ทั้งที่ประเทศแคนนาดาและสหรัฐฯ ได้รับความร่วมมือจากเอกอัครราชทูตที่ประจำในแต่ละประเทศร่วมกันชี้แจงสถานการณ์ในประเทศไทย เพื่อให้เข้าใจถึงผลกระทบต่อเงินลงทุนของนักลงทุนต่างชาติที่เข้ามาลงทุนในประเทศไทย
ส่วนการเดินทางไปนำเสนอข้อมูล(โรดโชว์)ในครั้งต่อไปของ ตลท.ก็จะเดินทางไปที่ฮ่องกงและญี่ปุ่น (โตเกียว) ในช่วงต้นเดือน ก.ค.นี้
"เราตั้งใจที่จะไปพูดคุยกับนักลงทุนทั่วโลกที่จะเข้ามาลงทุนในประเทศไทยเพื่อให้เกิดความเข้าใจ และเราก็จะไปกับหลายๆ ตลาด แต่ละบริษัทก็จะมีลูกค้าเพิ่ม ซึ่งก็จะมีทั้งบริษัทขนาดใหญ่และขนาดกลาง โดยเราก็ตั้งใจจะผลักดันบริษัทขนาดกลางให้มีศักยภาพและเติบโตได้ในอนาคต ก็จะเป็นเช่นเดียวกับตลาด mai"นางเกศรา กล่าว
นางเกศรา กล่าวอีกว่า หลังจากผ่านวิกฤตเศรษฐกิจต่างๆมาได้ภาคธุรกิจของไทยทั้งที่อยู่ในตลาดหลักทรัพย์และนอกตลาดฯ ถือว่ามีการเติบโตค่อนข้างดี ด้านของค่าเงินบาทนั้น บริษัทที่นำเข้าและส่งออกสินค้ามีการบริหารและปรับปรุงเปลี่ยนแปลงตัวเองให้ทันต่อสถานการณ์ได้ดี จึงไม่กระทบกับยอดการส่งออกง โดยจะเห็นได้จากมูลค่าส่งออกที่ยังเติบโตขึ้นทุกๆปี ขณะที่ก็มีการปรับตัวได้ดีในส่วนของการขยายธุรกิจไปในต่างประเทศเพื่อให้มีต้นทุนที่เหมาะสม