สมาคมตลาดตราสารหนี้ไทย(ThaiBMA) สรุปภาวะตลาดตราสารหนี้ไทยวันนี้มีมูลค่าการซื้อขายรวม 90,463 ล้านบาท โดยประเภทของตราสารที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงที่สุด คือ พันธบัตรธนาคารแห่งประเทศไทย โดยมีมูลค่าการซื้อขายเท่ากับ 65,908 ล้านบาท หรือคิดเป็นสัดส่วน 72.9% ของมูลค่าการซื้อขายทั้งหมดที่เกิดขึ้นในวันนี้ ลำดับถัดมาคือ พันธบัตรรัฐบาล มีมูลค่าการซื้อขายเท่ากับ 15,749 ล้านบาท หรือคิดเป็นสัดส่วน 17.4% ทางด้าน หุ้นกู้เอกชน มีมูลค่าการซื้อขายเท่ากับ 2,118 ล้านบาท หรือคิดเป็น 2.3% ของมูลค่าการซื้อขายทั้งหมด
สำหรับพันธบัตรรัฐบาลรุ่นที่นิยมซื้อขายสูงสุดในวันนี้คือ พันธบัตรรุ่น LB21DA, LB196A และ LB15DA(รุ่นอายุ 7.4 ปี, 4.9 ปี และ 1.4 ปี ตามลำดับ)โดยมีมูลค่าการซื้อขายรวมกัน 10,500 ล้านบาท หรือคิดเป็น 67% ของมูลค่าการซื้อขายพันธบัตรรัฐบาลทั้งหมด ทางด้านหุ้นกู้เอกชนรุ่นที่นิยมซื้อขายสูงสุด 3 อันดับแรกในวันนี้ คือ
1. หุ้นกู้มีประกันของบริษัท โตโยต้า ลีสซิ่ง(ประเทศไทย)จำกัด(TLT14DA)มูลค่า 271.0 ล้านบาท
2. หุ้นกู้บ้านปู(BANPU195A)มูลค่า 207.4 ล้านบาท
3. หุ้นกู้ของ บริษัท อยุธยา แคปปิตอล ออโต้ ลีส จำกัด(มหาชน)(AYCAL177A)มูลค่า 206.8 ล้านบาท
โดยมีมูลค่าการซื้อขายรวมกัน 685.2 ล้านบาท หรือคิดเป็น 32.4% ของมูลค่าการซื้อขายหุ้นกู้เอกชนทั้งหมดในวันนี้
ทางด้านประเภทของนักลงทุน ที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงที่สุดเป็น 2 อันดับแรกในวันนี้ คือ
1. กลุ่มบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) มียอดซื้อสุทธิ เท่ากับ 10,239 ล้านบาท
2. กลุ่มบริษัทจดทะเบียนในประเทศ มียอดซื้อสุทธิ เท่ากับ 2,637 ล้านบาท
ในขณะที่นักลงทุนต่างชาติ มียอดซื้อสุทธิ เท่ากับ 5,333 ล้านบาท
ผลตอบแทนของพันธบัตรรัฐบาลอายุ 3 เดือน ปิดที่ 2.06% ไม่มีการเปลี่ยนแปลงจากเมื่อวาน และผลตอบแทนของพันธบัตรรัฐบาลอายุ 5 ปี ปิดที่ 3.2% ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากเมื่อวาน 0.03%
Yield Curve ปรับเพิ่มขึ้นในตราสารอายุ 1 ปีขึ้นไป ประมาณ 1-3 bps. นักลงทุนส่วนใหญ่ยังคงติดตามข้อมูลเศรษฐกิจโลก ล่าสุดตัวเลข PMI ภาคการผลิตเดือนมิ.ย. ของจีนและสหรัฐฯ ปรับตัวเพิ่มขึ้น ส่งผลต่อ Global Sentiment ในเชิงบวก โดยตลาดจับตาผลการประชุม ECB วันที่ 3 ก.ค. ว่าจะมีแผนกระตุ้นเศรษฐกิจใหม่ๆออกมาหรือไม่ สำหรับนักลงทุนต่างชาติมีแรงซื้อในพันธบัตรระยะสั้น ยอดซื้อสุทธิ (NET BUY) เท่ากับ 5,333 ล้านบาท