สมาคมตลาดตราสารหนี้ไทย(ThaiBMA)สรุปภาวะตลาดตราสารหนี้ไทยวันนี้มีมูลค่าการซื้อขายรวม 73,479 ล้านบาทโดยประเภทของตราสารที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงที่สุด คือ พันธบัตรธนาคารแห่งประเทศไทย โดยมีมูลค่าการซื้อขายเท่ากับ 52,041 ล้านบาท หรือคิดเป็นสัดส่วน 70.8% ของมูลค่าการซื้อขายทั้งหมดที่เกิดขึ้นในวันนี้ ลำดับถัดมาคือ พันธบัตรรัฐบาล มีมูลค่าการซื้อขายเท่ากับ 15,270 ล้านบาท หรือคิดเป็นสัดส่วน 20.8% ทางด้าน หุ้นกู้เอกชน มีมูลค่าการซื้อขายเท่ากับ 942 ล้านบาท หรือคิดเป็น 1.3% ของมูลค่าการซื้อขายทั้งหมด
สำหรับ พันธบัตรรัฐบาล รุ่นที่นิยมซื้อขายสูงสุดในวันนี้คือ พันธบัตรรุ่น LB196A, LB176A และ LB236A (รุ่นอายุ 4.9 ปี, 2.9 ปี และ 8.9 ปี ตามลำดับ) โดยมีมูลค่าการซื้อขายรวมกัน 9,335 ล้านบาท หรือคิดเป็น 61% ของมูลค่าการซื้อขายพันธบัตรรัฐบาลทั้งหมด ทางด้าน หุ้นกู้เอกชน รุ่นที่นิยมซื้อขายสูงสุด 3 อันดับแรกในวันนี้ คือ
1. หุ้นกู้มีประกันของบริษัท โตโยต้า ลีสซิ่ง(ประเทศไทย)จำกัด(TLT155A) มูลค่า 251.5 ล้านบาท
2. หุ้นกู้บริษัท โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น จำกัด(มหาชน)(DTAC167A) มูลค่า 108.8 ล้านบาท
3. หุ้นกู้ของ บริษัท บางจากปิโตรเลียม จำกัด(มหาชน)(BCP174A) มูลค่า 80.1 ล้านบาท
โดยมีมูลค่าการซื้อขายรวมกัน 440.4 ล้านบาท หรือคิดเป็น 46.7% ของมูลค่าการซื้อขายหุ้นกู้เอกชนทั้งหมดในวันนี้
ทางด้านประเภทของนักลงทุน ที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงที่สุดเป็น 2 อันดับแรกในวันนี้ คือ
1. กลุ่มบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน(บลจ.) มียอดซื้อสุทธิ เท่ากับ 14,408 ล้านบาท
2. กลุ่มสถาบันการเงินที่ไม่มีใบอนุญาตเพื่อค้าตราสารหนี้ มียอดขายสุทธิ เท่ากับ -706 ล้านบาท
ในขณะที่นักลงทุนต่างชาติ มียอดซื้อสุทธิ เท่ากับ 4,194 ล้านบาท
ผลตอบแทนของพันธบัตรรัฐบาลอายุ 3 เดือน ปิดที่ 2.06% ไม่มีการเปลี่ยนแปลงจากเมื่อวาน และผลตอบแทนของพันธบัตรรัฐบาลอายุ 5 ปี ปิดที่ 3.22% ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากเมื่อวาน 0.02%
Yield Curve ปรับเพิ่มขึ้นในตราสารรุ่นอายุ 6 เดือน ถึง 5 ปี ประมาณ 1-4 bps. จากแรงขายทำกำไรของนักลงทุน นอกจากนี้ตัวเลขเศรษฐกิจต่างๆ ที่ทยอยประกาศออกมามีแนวโน้มเชิงบวกทำให้นักลงทุนบางส่วนปรับพอร์ตเข้าลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงมากขึ้น ซึ่งล่าสุดตัวเลขการจ้างงานภาคเอกชนของสหรัฐฯ เดือน มิ.ย. เพิ่มขึ้นสูงถึง 281,000 ตำแหน่ง จากที่ตลาดคาดไว้ 200,000 ตำแหน่ง ส่งผลให้Global Sentiment ดีขึ้น สำหรับนักลงทุนต่างชาติยังคงเข้าซื้อในพันธบัตรระยะสั้น ยอดซื้อสุทธิ(NET BUY) เท่ากับ 4,194 ล้านบาท