"มันเป็นงานที่มีมูลค่ามาก แต่ยังไม่สามารถระบุรายละเอียดต่างๆได้ มั่นใจว่าเป็นผลดีต่อบริษัทฯอย่างมาก น่าจะมีข่าวดีเร็วๆนี้คงได้ข้อสรุปภายในในปีนี้ หากได้งานนี้เพิ่มเข้ามาก็จะส่งผลต่อตัวรายได้ทั้งปี ซึ่งเราก็จะมีการรีวิวใหม่ทั้งหมด"นายแพทย์สมยศ กล่าวกับ"อินโฟเควสท์"
ประกอบกับ ที่ผ่านมาบริษัทเข้าซื้อโครงการ Equinox Office Tower จาก บมจ.เมเจอร์ ดีเวลลอปเมมท์(MJD)โดยมีการเปลี่ยนชื่อใหม่เป็นอาคาร เอช เจ อินฟินิทวัน พื้นที่ 20,000 ตารางเมตร ซึ่งจะสามารถรับรู้รายได้จากค่าเช่าเข้ามาจำนวนมาก ขณะที่แผนการขายสินทรัพย์เข้ากองทรัสต์เพื่อการลงทุนในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์(REIT)มูลค่า 4,700 ล้านบาท ขณะนี้อยู่ในขั้นตอนของการพิจารณาของคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์(ก.ล.ต.)โดยมีความคืบหน้าไปแล้ว 95% คาดว่าจะนำสินทรัพย์ขายเข้ากองทุนภายใน 4/57 ตามเป้าหมายเดิม
สำหรับแนวโน้มภาพรวมครึ่งปีหลัง บริษัทฯมองว่ายังอยู่ในเกณฑ์ที่ดี เมื่อสถานการณ์ทางการเมืองคลี่คลายลง และมีการอนุมัติโครงการจากการพิจารณาของคณะกรรมการการส่งเสริมการลงทุน(BOI)อย่างต่อเนื่อง ส่งผลถึงการจับจ่ายใช้สอยของภาคประชาชนที่ดีขึ้น เห็นได้จากตัวเลขความเชื่อมั่นของผู้บริโภคล่าสุดปรับตัวสูงขึ้นต่อเนื่อง ถือเป็นผลดีต่อภาพรวมประเทศ
ขณะที่เศรษฐกิจในต่างประเทศมีแนวโน้มการเติบโตที่ดีขึ้น โดยเฉพาะเศรษฐกิจประเทศสหรัฐฯ ซึ่งจะส่งผลดีมายังเศรษฐกิจทั่วโลกด้วย เพราะทำให้มีเงินสะพัดในระบบการเงินของโลกมากขึ้น จากปัจจัยดังกล่าวจะทำให้ครึ่งปีหลังนี้ดีกว่าครึ่งปีแรก
นายแพทย์สมยศ เปิดเผยว่า ผลดำเนินงานไตรมาส 2/57 บริษัทมีการส่งมอบพื้นที่เช่าให้ลูกค้าเพิ่มขึ้น แม้ว่าจะมีการเลื่อนส่งมอบพื้นที่ให้เช่าราว 50,000 ตารางเมตรไปเป็นช่วงไตรมาส 3/57 ซึ่งจะทำให้ครึ่งปีหลังผลประกอบการดีขึ้นอีกอย่างต่อเนื่อง
ส่วนการลงทุนสร้างคลังสินค้าในอินโดนีเซีย ขณะนี้อยู่ในช่วงของการออกแบบก่อสร้าง คาดว่าจะเริ่มลงมือก่อสร้างได้ในเร็วๆนี้ ขณะที่บริษัทอยู่ระหว่างเตรียมเข้าไปลงทุนสร้างคลังสินค้าในมาเลเซียอีกด้วย โดยอยู่ระหว่างขั้นตอนการ Process น่าจะได้ข้อสรุปในช่วงปลายไตรมาส 3/57 ถึงต้นไตรมาส 4/57 ซึ่งบริษัทมองแนวโน้มเศรษฐกิจของมาเลเซียมีการเติบโตที่ดี และไม่มีปัญหาเรื่องการเมืองภายในประเทศ ประกอบกับมีรายได้ที่ดีจากอุตสาหกรรมปาล์มน้ำมัน
นายแพทย์สมยศ กล่าวอีกว่า จากกรณีที่กรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน(พพ.)ทบทวนโครงการติดตั้งระบบผลิตไฟฟ้าด้วยเซลล์แสงอาทิตย์บนหลังคา(Solar roof top)นั้น บริษัทได้รับผลกระทบน้อยมาก เนื่องจากสัดส่วนรายได้จาก solar roof top ยังน้อยอยู่ไม่ถึง 10% ของรายได้รวม ที่มีรายได้หลักมาจากธุรกิจด้านการพัฒนา การให้เช่าพื้นที่และบริการ
"ที่จริงโครงการก็เป็นการติดตั้งหลังคาขนาดเล็กๆ และมีการกระจายไปแต่ละจังหวัดๆทั่วประเทศ ซึ่งมีต้นทุนสูง ก็แปลว่าโครงการที่ติดหลังคาราชการไม่น่าจะเวิร์ค รวมถึงโซล่าหมู่บ้าน หมู่บ้านละ 1 เมกกะวัตต์ ที่ติดปัญหาทางการเงิน ซึ่งมองว่าที่มีการชะลอไปเพราะเหตุผลเหล่านี้มากกว่า แต่อย่างไรก็ตามโซลาร์รูฟในประเทศก็ยังมีประโยชน์ ซึ่งสุดท้ายก็ยังมีความมั่นคงต่อพลังงาน ขณะที่มองว่าถ้าส่งเสริมโซล่ารูฟจะดีกว่าโซล่าฟาร์ม เพราะมันเป็นพื้นที่ที่มีประโยชน์ ทำให้พื้นที่เกษตรกรรมไม่เสียไป ส่วนเราก็ค่อยๆทำไปเราก็ยังขายของเราได้ตลอด"นายแพทย์สมยศ กล่าว