นายสัมฤทธิ์ ตันติดิลกกุล กรรมการผู้จัดการ SST กล่าวว่า กองทุนดังกล่าวจะลงทุนครั้งแรกในกรรมสิทธิ์ (Freehold) ในโครงการทรัพย์ศรีไทย สมาร์ท สโตเรจ ซึ่งเป็นโครงการคลังเอกสาร จำนวน 5 อาคาร พื้นที่รวม 9,277 ตารางเมตร บนที่ดินขนาด 5-3-52.4 ไร่ บริเวณถนนสุขสวัสดิ์ สมุทรปราการ อย่างไรก็ตาม คาดว่าจะสามารถจ่ายปันผลให้แก่นักลงทุนในช่วง 10 ปี ในอัตราเฉลี่ยประมาณ 7% ต่อปี
"จุดเด่นของกองทุนอสังหาริมทรัพย์ทรัพย์ศรีไทย สมาร์ท สโตเรจ นั้นเป็นการที่คลังสินค้าของบริษัทใช้เครื่องจักรที่ทันสมัยและมีเทคโนโลยีสูง ทำให้การจัดการเอกสารต่างๆไม่มีความผิดพลาด และแนวโน้มธุรกิจของการจัดเก็บเอกสารก็มีการเติบโตที่ดี โดยปีก่อนโต 20% เนื่องจากดีมานด์การใช้คลังจัดเก็บเอกสารเพิ่มขึ้น ส่วนผลตอบปัจจุบันอยู่ที่ 6.88% แต่ 12 ปี จะอยู่ที่ 7.21% ซึ่งให้ผลตอบแทนที่สูงมาก"นายสัมฤทธิ์ กล่าว
สำหรับเงินที่บริษัทได้หลังจากการนำสินทรัพย์เข้าขายในกองทุน บริษัทมีแผนนำเงินไปลงทุนสร้างคลังสินค้าใหม่ บนพื้นที่ 17 ไร่ ซึ่งบริษัทได้ซื้อที่ดินไปเรียบร้อยแล้ว นอกจากนั้นยังจะทำให้ผลประกอบการ ไตรมาส 3/57 จะมีกำไรโดดเด่นที่สุด เนื่องจากมีการบันทึกกำไรจากการขายสินทรัพย์ของบริษัทเข้ากองทุนฯ หลังจากที่กำไรในไตรมาส 2/57 ออกมายังไม่ดีมากนัก
"กำไรในไตรมาส 3 ปีนี้ก็คาดว่าจะดี เพราะเรารับรู้กำไรจากกองทุนฯ 50% ซึ่งจะ book ในไตรมาส 3 นี้ และกองทุนนี้เราก็ยังได้ปันผลด้วย เพราะบริษัทเข้าไปถือ 15% ส่วนในไตรมาส 2 ที่ผ่านมาคาดว่าจะยังไม่ดี แต่แนวโน้มอนาคตของบริษัทเราก็ยังมีการเติบโตดี เพราะเราทำธุรกิจอาหารด้วย อย่างไรคนก็ยังต้องบริโภค"นายสัมฤทธิ์ กล่าว
นายสัมฤทธิ์ กล่าวว่า บริษัทได้ตั้งเป้ารายได้รวมปีนี้เติบโตไม่ต่ำกว่า 15% จากปีก่อน ตามแนวโน้มธุรกิจอาหารและธุรกิจคลังจัดเก็บเอกสารมีการเติบโตขึ้น โดยบริษัทคาดว่ารายได้จากธุรกิจอาหารเติบโต 19% จากปีก่อน และธุรกิจคลังจัดเก็บเอกสารมีรายได้เติบโตไม่ต่ำกว่า 10% เนื่องจากลูกค้ามีความต้องการใช้คลังสินค้าเพื่อจัดเก็บเอกสารเพิ่มมากขึ้น ลูกค้าส่วนใหญ่เป็นสถาบันการเงินและผู้ให้บริการที่ไม่ใช่สถาบันการเงิน(Non-Bank) ทำให้แนวโน้มของธุรกิจยังเติบโตได้ดี โดยเฉพาะในครึ่งปีหลังนี้
บริษัทคาดว่าผลประกอบการทั้งปี 57 บริษัทจะพลิกกลับมามีกำไร จากปี 56 ที่ขาดทุนสุทธิ 107.70 ล้านบาท เนื่องจากในช่วงไตรมาส 3/57 บริษัทคาดว่าจะมีการขายธุรกิจน้ำมันพืชทิพ ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการประเมินมูลค่าสินทรัพย์ คาดว่ามีมูลค่ากว่า 800 ล้านบาท และหลังจากขายธุรกิจน้ำมันพืชแล้วจะทำให้อัตราส่วนหนี้สินต่อทุนของบริษัทลดลงต่ำกว่า 1 เท่า จากปัจจุบันอยู่ที่ระดับสูงกว่า 1 เท่า
"ปีนี้คาดว่าเราจะ Turnaround เพราะตอนนี้ที่ยังขาดทุน เพราะน้ำมันพืชทิพที่ขาดทุนอยู่ 70 ล้านบาท และมีค่าเสื่อมอีก 40 ล้านบาท คาดว่าน่าจะขายได้ในช่วงไตรมาส 3 ปีนี้ ขณะที่เราก็ประเมินมูลค่าสินทรัพย์กันอยู่ ก็ราวๆ 800 กว่าล้านบาท ถ้าขายไปแล้วบริษัทเราก็จะดีขึ้น เพราะธุรกิจน้ำมันพืชเรายังไม่มีความชำนาญในการบริหารมาก ถ้ายังทำต่อก็เป๊นภาระให้แก่บริษัท จึงตัดสินใจขาย และนอกจากนี้ก็ยังช่วยให้ D/E เราลดลงด้วยจากตอนนี้อยู่ที่ 1 เท่าปลายๆ แต่ถ้าขายออกไปแล้วก็จะลดมาที่ ต่ำกว่า 1 เท่า"นายสัมฤทธิ์ กล่าว
ด้านงบลงทุนในปี 57 บริษัทตั้งไว้ที่ 500-600 ล้านบาท โดยจะนำไปใช้สร้างคลังจัดเก็บเอกสารเฟส 2 เนื้อที่ 8,700 ตารางเมตร คาดว่าสร้างเสร็จไม่เกินสิ้นปี 58 ทั้งนี้เพื่อรองรับความต้องการของลูกค้าที่เพิ่มมากขึ้นในอนาคต