"เราก็อยากเข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ แต่ต้องหารือกับทางบอร์ดปตท.ก่อน ซึ่งการจะเข้าจดทะเบียนเราต้องมีการเตรียมตัว แต่ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมาเรามีผลการดำเนินงานเติบโตอย่างก้าวกระโดด เห็นได้จากปี 56 มีกำไร 335 ล้านบาท จากปี 55 มีกำไรอยู่ที่ 224 ล้านบาท และปี 54 มีกำไรอยู่ที่ 100 ล้านบาท"นายจักรกฤช กล่าว
อนึ่ง PTTRM ทำหน้าที่ดูแลและบริหารสถานีน้ำมันของ PTT และร้านสะดวกซื้อจิฟฟี่ รวมถึงธุรกิจทางด้านอาหารที่อยู่ในกลุ่มของ ปตท.โดยมีสัดส่วนกำไรมาจากธุรกิจค้าปลีก 50% และมาจากการจำหน่ายน้ำมันเชื้อเพลิงอีก 50% โดย PTTRM มีแผนเพิ่มสัดส่วนกำไรจากธุรกิจอื่นๆที่ไม่ใช่น้ำมันเป็น 60% ในอีก 3 ปีข้างหน้า เช่น ขยายธุรกิจค้าปลีกนอกสถานีน้ำมัน การทำธุรกิจออนไลน์ช้อปปิ้ง ซึ่งจะเปิดตัวในเดือนส.ค.นี้ รวมถึงการขายสิทธิใช้เครื่องหมายการค้า PEARLY และ TEA เป็นต้น
นายจักรกฤช กล่าวว่า บริษัทคาดว่าผลประกอบการในปี 57 น่าจะใกล้เคียงกับปีก่อนหรือลดลงเล็กน้อย เนื่องจากได้รับผลกระทบจากปัญหาเศรษฐกิจและการเมืองในช่วงครึ่งปีแรก แต่พยายามรักษากำไรให้ใกล้เคียงกับปีก่อนหรือมากกว่าเล็กน้อย ด้วยการเน้นขายสินค้าที่มีอัตรากำไร(มาร์จิ้น)สูง โดยในปีที่ผ่านมาบริษัทมีรายได้จากธุรกิจน้ำมัน 40,000 ล้านบาท และธุรกิจค้าปลีก 6,000 ล้านบาท
สำหรับแผนการดำเนินงานจากนี้ บริษัทฯตั้งงบลงทุนไม่น้อยกว่า 5,000 ล้านบาทภายใน 5 ปี ซึ่งในปีนี้บริษัทจะเน้นขยายธุรกิจ non oil ด้วยการปรับปรุงสาขาเดิม และขยายสาขาร้านสะดวกซื้อจิฟฟี่ภายในสถานีบริการน้ำมัน ปตท.ที่อยู่ในประเทศไทยเพิ่มอีก 3-4 แห่ง จากปัจจุบันที่มีอยู่ 150 แห่ง และขยายร้านจิฟฟี่ไปตั้งนอกสถานีบริการน้ำมันอีก 20 แห่ง
รวมถึงเปิดซุปเปอร์มาร์เก็ตนอกสถานีบริการน้ำมันจำนวน 4 แห่ง ภายใต้ชื่อ จิฟฟี่ พลัส ซุปเปอร์มาร์เก็ต เบื้องต้นจะตั้งในทำเลราชพฤกษ์, บางแค, สุขุมวิท และหน้ากระทรวงพาณิชย์
นอกจากนั้น บริษัทจะขยายสาขาร้านจิฟฟี่ในสถานีบริการน้ำมัน ปตท.ที่ตั้งอยู่ในลาว อีกจำนวน 6 แห่ง ขณะเดียวกันบริษัทมีการปรับตัวเพื่อให้ทันกับการแข่งขันที่รุนแรงของธุรกิจค้าปลีกมากขึ้น และเพื่อให้ลูกค้าเกิดความสะดวกสบายในการเลือกซื้อสินค้า บริษัทฯจึงรุกตลาดการสั่งซื้อสิ้นค้าทางระบบออนไลน์ เพื่อตอบโจทย์พฤติกรรมผู้บริโภค โดยจะเริ่มให้บริการได้ในวันที่ 1 ส.ค.นี้ เป็นต้นไป
นาจักรกฤช กล่าวว่า ล่าสุดบริษัทได้เซ็นสัญญาความร่วมมือกับบมจ.อีเทอร์นิตี้ แกรนด์ โลจิสติคส์(ETG) ให้บริการขนส่งสินค้าอุปโภคบริโภคร้านจิฟฟี่ 150 สาขาทั่วประเทศ เป็นระยะเวลา 3 ปี จนถึงเดือน ก.พ.60 ในฐานะคู่ค้า โดยจะมีการปรับปรุงมาตรฐานการทำงานร่วมกันให้ดียิ่งขึ้น รวมถึงมีแผนความร่วมมือเพื่อต่อยอดต่อไปในอนาคต
จุดเด่นของ ETG ที่ผ่านการคัดเลือกในครั้งนี้ เนื่องจากมีระบบบริหารจัดการที่เป็นระดับสากล ใช้เทคโนโลยี GPS มาใช้เฝ้าติดตามและตรวจสอบการวิ่งของรถ และมีการวางแผนงานขนส่ง วางแผนการเดินทางให้ไปถึงที่หมายได้อย่างถูกต้องสะดวกและรวดเร็ว ประกอบกับ ETG ยังให้ความสำคัญกับการดูแลสิ่งแวดล้อม โดยเลือกใช้รถยูโร 3 ของอีซูซุ ซึ่งเป็นรถรุ่นใหม่ ประหยัดน้ำมันกว่าเดิม 10% ไม่มีความเสียหายและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
ด้านนายพูนศักดิ์ เธียไพรัตน์ ประธานกรรมการ และกรรมการผู้จัดการ ETG เปิดเผยว่า ภาพรวมธุรกิจของ ETG ในปีนี้ จะเติบโตจากปีที่ผ่านมา 5% โดยมุ่งใช้กลยุทธ์เน้นรักษาฐานลูกค้าเดิม พร้อมกับขยายฐานลูกค้าใหม่ ควบคู่ไปกับการพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการให้บริการ