ทั้งนี้ CPF ยังมุ่งมั่นที่จะเติบโตอย่างยั่งยืนตามแผน 5 ปี ที่จะเติบโตปีละ 10-15% ณ วันนี้ศักยภาพในการเติบโตยังทำได้ตามแผน โดยล่าสุดวันนี้ที่ประชมผู้ถือหุ้น CPF อนุมัติให้บริษัทซื้อเงินลงทุนใน "KAIFENG"มูลค่ากว่า 1.6 พันล้านบาท และอนุมัติให้มีการขายกิจการธุรกิจมอเตอไซด์ Rapid Thrive เพราะมองว่าธุรกิจมอเตอร์ไซด์ในจีนตอนนี้เป็นขาลง และแนวโน้มไม่น่าจะเติบโตได้
นายอดิเรก กล่าวว่า CPF ยังมีนโยบายที่จะซื้อธุรกิจอาหารสัตว์ในจีนเพิ่มอีก 1 แห่ง โดยให้ C.P. Pokphand ซึ่งเป็นบริษัทย่อยในจีนที่ CPF ถือหุ้นอยู่ 70% เข้าซื้อ เพื่อทำให้โรงงานอาหารสัตวในจีนเพิ่มเป็น 67 แห่ง ตามนโยบาย จากปัจจุบันอยู่ที่ 66 แห่ง หลังจากที่ได้ซื้อ"KAIFENG" มาแล้ว เนื่องจากมองว่าธุรกิจอาหารสัตว์และเกี่ยวเนื่องกับการแปรรูปในจีนยังเติบโตต่อเนื่อง
ขณะที่ C.P. Pokphand มีนโยบายจะขายธุรกิจ non-core ในจีนออกทั้งหมด จากปัจจุบันมีธุรกิจหลากหลาย ได้แก่ ไบโอเคมีคอล ธุรกิจเอเย่นต์ขายอะไหล่ เป็นต้น ซึ่งเป็นธุรกิจที่ติดมากับ C.P. Pokphand ตั้งแต่แรก ส่วนจะสรุปได้เมื่อใดนั้นยังไม่สามารถกำหนดได้ เพราะขึ้นกับราคาและผู้ซื้อ ทั้งนี้ เพื่อที่บริษัทจะหันมาเน้นการซื้อธุรกิจหลัก คือ เกษตรกรรม อุตสาหกรรม แปรรูปอาหารสัตว์ เท่านั้น
"การซื้อและการขาย ในแง่กระแสเงินสดไม่มีผลกระทบ เพราะมูลค่าซื้อขายใกล้เคียงกัน แต่มองเป็นผลบวกต่อ CPF มากกว่าเพราะการที่ให้ C.P. Pokphand ในจีน ซึ่ง CPF ถือหุ้นอยู่ 70% ไปซื้อ KAIFENG ซึ่งมีผลรายได้และกำไรสม่ำเสมอ และมีอัตรากำไรสุทธิ 4.5% ซึ่งสอดคล้องกับนโยบาย CPF จะส่งผลดีต่อ CPF ในอนาคต"นายอดิเรก กล่าว
นายอดิเรก กล่าวถึงมุมมองต่อภาพรวมเศรษฐกิจไทยในครึ่งปีหลังว่า แนวโน้มน่าจะดีขึ้นต่อเนื่องจากครึ่งปีแรกที่คาดว่าจะติดลบ เมื่อติดตามนโยบายเศรษฐกิจของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) แล้วคาดว่าเศรษฐกิจปีนี้น่าจะเติบโตได้ถึง 2-3% หรือสูงกว่านั้นหากมีความต่อเนื่องของนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจและตอบสนองการลงทุน เพราะตัวขับเคลื่อนเศรษฐกิจหลักๆ คือ การลงทุนภาครัฐและเอกชน รวมทั้งการท่องที่ยว และการส่งออก หากครึ่งปีหลังความเชื่อมั่นดีขึ้น คนมีความสุขและทางสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน(บีโอไอ)อนุมัติโครงการต่างๆ ออกมาได้เร็วก็จะมีส่วนช่วยได้มาก