ทั้งนี้ บริษัทได้ปรับประมาณการปีนี้ลดลงหลังจากประกาศใช้กฎอัยการศึก (19 พ.ค.57) โดยในส่วนจำนวนผู้โดยสารปีนี้มีคาดว่าจะมีจำนวน 12.6 ล้านคน จากเดิมตั้งเป้าที่ 13.3 ล้านคน และอัตราบรรทุกผู้โดยสาร(cabin factor)ปรับลงมาที่ 83% จากเดิม 84% พร้อมกับลดการรับมอบเครื่องบินใหม่เหลือจำนวน 5 ลำ จากเดิมรับมอบ 8 ลำ เพื่อปรับให้เหมาะสมกับสภาวะตลาด
ในช่วงครึ่งปีหลังก็ยังคงติดตามสถานการณ์ในประเทศ หากมีการยกเลิกการใช้กฎอัยการศึกสิ้นเดือน ก.ค. และมีการใช้รัฐธรรมนูญชั่วคราวในเดือนส.ค. ซึ่งน่าจะเห็นนักท่องเที่ยวกลับมาใน 2-3 เดือน ก็จะเข้าสู่ช่วงไฮซีซั่นหรือในช่วงไตรมาส 4/57 จนถึงในไตรมาส 1/58
อย่างไรก็ตาม บริษัทตั้งเป้ารายได้ในช่วงต่อจากปีนี้จะเติบโตเฉลี่ยปีละ 20-25% ในช่วง 3 ปี(ปี 58-60) ตาม Capacity เพิ่มขึ้นจากที่บริษัทมีแผนรับมอบเครื่องบินใหม่ 5 ลำต่อปี แต่หากปีไหนสถานการณ์ดีขึ้นก็อาจปรับมารับมอบเครื่องบินมากขึ้นเป็น 6-8 ลำ และการเปิดเส้นทางบินใหม่ เน้นในประเทศจีน ซึ่งยังมีอีกหลายเมืองที่มองไว้ นอกจากนี้ คาดว่า cabin factor จะปรับขึ้นมาที่ 85% ในช่วง 3 ปีนี้
พร้อมตั้งเป้าหมายขึ้นมาอยู่อันดับหนึ่งของตลาดธุรกิจการบินของไทยภายใน 5 ปีนี้ จากปัจจุบันมีส่วนแบ่งตลาดเป็นอันดับสอง 37% หรือ ผู้โดยสาร 12.3 ล้านคน รองจากสายการบินไทยทีมีจำนวนผู้โดยสารประมาณ 16 ล้านคน ขณะที่ตลาดสายการบินต้นทุนต่ำ สายการบินไทยแอร์เอเชียขึ้นเป็นอันดับหนึ่งที่ส่วนแบ่งการตลาด 50% ซึ่งในช่วงปี 57-60 บริษัทจะใช้งบประมาณ 6-7 พันล้านบาทต่อปี เพื่อลงทุนเครื่องบินใหม่ปีละ 5 ลำ โดยแหล่งเงินมาจากเงินกู้สถาบัน
ตามแผนไทยแอร์เอเชียจะมีฝูงบินเครื่องบินแอร์บัส เอ320 จำนวนรวม 60 ลำในสิ้นปี 61 จากสิ้นปี 57 จะมีจำนวนเครื่องบินทั้งหมด 40 ลำ ซึ่งในปีนี้รับมอบแล้ว 4 ลำ และจะรับอีก 1 ลำในเดือนก.ย.