ทั้งนี้ บริษัทได้ปรับประมาณการปีนี้ลดลงหลังจากประกาศใช้กฎอัยการศึก (19 พ.ค.57) โดยในส่วนจำนวนผู้โดยสารปีนี้มีคาดว่าจะมีจำนวน 12.6 ล้านคน จากเดิมตั้งเป้าที่ 13.3 ล้านคน และอัตราบรรทุกผู้โดยสาร(cabin factor)ปรับลงมาที่ 83% จากเดิม 84% พร้อมกับลดการรับมอบเครื่องบินใหม่เหลือจำนวน 5 ลำ จากเดิมรับมอบ 8 ลำ เพื่อปรับให้เหมาะสมกับสภาวะตลาด
ในช่วงครึ่งปีหลังก็ยังคงติดตามสถานการณ์ในประเทศ หากมีการยกเลิกการใช้กฎอัยการศึกสิ้นเดือน ก.ค. และมีการใช้รัฐธรรมนูญชั่วคราวในเดือนส.ค. ซึ่งน่าจะเห็นนักท่องเที่ยวกลับมาใน 2-3 เดือน ก็จะเข้าสู่ช่วงไฮซีซั่นหรือในช่วงไตรมาส 4/57 จนถึงในไตรมาส 1/58
ในช่วงไตรมาส 3/57 ไทยแอร์เอเชียจะปรับลด Capacity ลง 23% ได้แก่ การลดความถี่ ลดเที่ยวบินเพื่อให้เหมาะสมกับสภาพตลาด และคาดว่าจะกลับมามี Capacity เท่าเดิมในช่วงปลายเดือน ก.ย.-ต.ค.เพื่อรองรับช่วงไฮซีซั่น ซึ่งต้องติดตามว่ามีการยกเลิกการใช้กฎอัยการศึกเมื่อใด เพราะหากยกเลิกก็จะทำให้นักท่องเที่ยวก็จะกลับมามากขึ้น
"ผู้โดยสารครึ่งปีแรกหายไป 30% ซึ่งถือว่าเยอะ เราก็ตัองปรับ Capacity ลงประมาณ 10% รายได้และกำไรก็ปรับลดตามสัดส่วนที่ลด Capacity ...ครึ่งปีหลังก็รออยู่ เพราะยังใช้กฎอัยการศึก นักท่องเที่ยวถือว่าเป็นยาแรง แต่สิ้นเดือนนี้น่าจะยกเลิกและใช้รัฐธรรมนูญชั่วคราว คาดว่านักท่องเที่ยวก็น่าจะกลับมา 2-3 เดือนก็จะเข้าหน้า High season ถ้าเป็นอย่างนั้น ต.ค.น่าจะกลับมาแข็งแรง เท่ากับเราหายไป 3 ไตรมาสมาฟื้นเอาไตรมาสสุดท้าย...ก็ยังดี"นายทัศพล กล่าว
อย่างไรก็ตาม แผนธุรกิจในปีนี้ก็ยังเดินหน้า โดยไทยแอร์เอเชียจะเปิด Hub เพิ่มที่จ.กระบี่ ในช่วงครึ่งปีหลัง เพื่อใช้เป็นจุดบินต่อไปยังต่างประเทศ ได้แก่นจีน ฮ่องกง มาเก๊า สิงคโปร์ เป็นต้น หลังจาก Hub ใน จ.ภูเก็ต มีผู้โดยสารใช้บริการเต็มแล้ว นอกจากนี้มี Hub ที่ จ.เชียงใหม่ รวมทั้งเตรียมเปิดจุดบินใหม่ดอนเมือง-สกลนคร ในช่วงที่เหลือของปี 57
อนึ่ง สายการบินไทยแอร์เอเชีย มีผู้โดยสารต่างประเทศสัดส่วน 40-45% และ ส่วนที่เหลือเป็นผู้โดยสารไทย
*แผน 3 ปีนี้รายได้โตปีละ 20-25%
นายทัศพล กล่าวอีกว่า บริษัทตั้งเป้ารายได้ในช่วงต่อจากปีนี้จะเติบโตเฉลี่ยปีละ 20-25% ในช่วง 3 ปี(ปี 58-60) ตาม Capacity เพิ่มขึ้นจากที่บริษัทมีแผนรับมอบเครื่องบินใหม่ 5 ลำต่อปี แต่หากปีไหนสถานการณ์ดีขึ้นก็อาจปรับมารับมอบเครื่องบินมากขึ้นเป็น 6-8 ลำ และการเปิดเส้นทางบินใหม่ เน้นในประเทศจีน ซึ่งยังมีอีกหลายเมืองที่มองไว้ นอกจากนี้ คาดว่า cabin factor จะปรับขึ้นมาที่ 85% ในช่วง 3 ปีนี้
พร้อมตั้งเป้าหมายขึ้นมาอยู่อันดับหนึ่งของตลาดธุรกิจการบินของไทยภายใน 5 ปีนี้ จากปัจจุบันมีส่วนแบ่งตลาดเป็นอันดับสอง 37% หรือ ผู้โดยสาร 12.3 ล้านคน รองจากสายการบินไทยทีมีจำนวนผู้โดยสารประมาณ 16 ล้านคน ขณะที่ตลาดสายการบินต้นทุนต่ำ สายการบินไทยแอร์เอเชียขึ้นเป็นอันดับหนึ่งที่ส่วนแบ่งการตลาด 50% ซึ่งในช่วงปี 57-60 บริษัทจะใช้งบประมาณ 6-7 พันล้านบาทต่อปี เพื่อลงทุนเครื่องบินใหม่ปีละ 5 ลำ โดยแหล่งเงินมาจากเงินกู้สถาบัน
ตามแผนไทยแอร์เอเชียจะมีฝูงบินเครื่องบินแอร์บัส เอ320 จำนวนรวม 60 ลำในสิ้นปี 61 จากสิ้นปี 57 จะมีจำนวนเครื่องบินทั้งหมด 40 ลำ ซึ่งในปีนี้รับมอบแล้ว 4 ลำ และจะรับอีก 1 ลำในเดือนก.ย.
นายทัศพล กล่าวว่า บริษัทได้ลงทุนเครื่องบินใหม่ทั้งหมด 60 ลำ แบ่งเป็นลงุทนซื้อเอง จำนวน 30 ลำ และเช่าจำนวน 30 ลำ จะทำให้อัตราส่วนหนี้สินต่อทุน(D/E)ในปี 60 เพิ่มขึ้นแต่เชื่อว่าจะไม่เกิน 2 เท่า จากปัจจุบัน D/E อยู่ที่ 0.58 เท่า
"แผน 3 ปีข้างหน้าเราก็โตต่อไป ถ้าไม่มีอะไร ก็รับเครื่องใหม่ 5-6 ลำทุกปี คือรับมอบให้หมดภายในปี 60 บางปีอาจเร่งรับมอบ 6-8 ลำก็ได้ ...จุดแข็งของเราคือตั๋วราคาถูก ราคาประหยัด เราดัมพ์ราคามาแต่ไหนแต่ไรก็ช่วยไม่ได้ คนไม่ขึ้นก็ต้องดึงราคาลงประมาณ 10-15% ผมว่าราคาเป็นไปตามตลาดก็เหมาะสมกับสถานการณ์ เพราะสถานการณ์ไม่ปกติ ราคาไม่ปกติตาม ปกติราคาถูกอยู่แล้ว ก็ถูกกว่าปกติ" นายทัศพล กล่าว
ส่วนปัจจัยเรื่องราคาน้ำม้น เขามองว่าปีนี้ราคาน้ำมันเครื่องบินจะแกว่งตัวในกรอบ 123-127 เหรีญ/บาร์เรล และเงินบาทใช้วิธี Natural Headge เพราะมีรายได้เป็นเงินสกุลต่างประเทศประมาณ 30%
ด้านสายการบินไทยแอร์เอเชียเอ็กซ์ นายทัศพล กล่าวว่า แยกการบริหารจัดการกับไทยแอร์เอเชียตลอดไป เพราะผู้ถือหุ้นของ AAV ไม่ต้องการให้เข้ามารวมกัน เนื่องจากเห็นว่าธุรกิจของไทยแอร์เอเชียดีอยู่แล้ว ทั้งนี้ ไทยแอร์เอเชียเอ็กซ์ มี cabin factor ในระดับที่ดีทั้งเส้นทางเกาหลีอยู่ที่ 82-85% และเส้นทางญี่ปุ่นมียอดจองมากกว่า 80% จะเริ่มบินเที่ยวแรกในวันที่ 1 ก.ย.นี้