ทั้งนี้ การพิจารณาอันดับเครดิตยังคำนึงถึงผลงานของบริษัทที่ได้รับการยอมรับในตลาดพัฒนาที่อยู่อาศัยในประเทศไทย แบรนด์สินค้าที่ได้รับการยอมรับในตลาดที่อยู่อาศัยระดับราคาปานกลาง และฐานะทางการเงินที่แข็งแกร่งของบริษัทด้วย
อย่างไรก็ตาม จุดแข็งดังกล่าวลดทอนลงไปบางส่วนจากลักษณะของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ที่เป็นวงจรขึ้นลงและมีการแข่งขันสูง รวมถึงความกังวลในด้านต้นทุนการดำเนินงานที่ปรับตัวสูงขึ้นและภาวะการขาดแคลนแรงงานในธุรกิจรับเหมาก่อสร้าง
ในขณะที่แนวโน้มอันดับเครดิต “Stable" หรือ “คงที่" สะท้อนถึงการคาดการณ์ว่าบริษัทจะสามารถรักษาผลการดำเนินงานและฐานะทางการเงินที่แข็งแกร่งเอาไว้ได้ โดยคาดว่าบริษัทจะมีรายได้อยู่ในช่วง 16,000 ถึง 20,000 ล้านบาทในระยะ 2-3 ปีข้างหน้า ทั้งนี้ อัตราส่วนหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยต่อส่วนทุนควรอยู่ในระดับต่ำกว่า 1 เท่า อย่างไรก็ตาม ความล่าช้าอย่างมีนัยสำคัญจากการรับรู้รายได้หรือสถานะทางการเงินที่อ่อนแอลงก็อาจเป็นสาเหตุที่ทำให้ต้องมีการปรับลดอันดับเครดิตหรือแนวโน้มอันดับเครดิตของบริษัทลงได้ในอนาคต
บริษัทศุภาลัย เป็นหนึ่งในกลุ่มผู้ประกอบการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำของไทยซึ่งก่อตั้งในปี 2532 โดยตระกูลตั้งมติธรรม ณ เดือนมีนาคม 2557 ตระกูลตั้งมติธรรมซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ของบริษัทถือครองหุ้นในสัดส่วนทั้งสิ้น 28% และบริษัทมีโครงการที่อยู่อาศัยจำนวน 86 โครงการ ด้วยมูลค่ายอดขายคงเหลือประมาณ 26,000 ล้านบาท บริษัทมียอดขายที่รอรับรู้รายได้เป็นจำนวนมากประมาณ 39,000 ล้านบาท หรือประมาณ 3 เท่าของฐานรายได้ในปัจจุบัน โครงการที่อยู่อาศัยของบริษัทประกอบด้วยโครงการคอนโดมิเนียมคิดเป็น 52% และโครงการบ้านจัดสรรอีก 45% ความได้เปรียบในการแข่งขันของบริษัทมาจากความสามารถในการควบคุมต้นทุนการดำเนินงานที่มีประสิทธิภาพซึ่งทำให้บริษัทสามารถเสนอขายที่อยู่อาศัยในราคาที่แข่งขันได้
ยอดขายของบริษัทอยู่ที่ 18,900 ล้านบาทในปี 2556 ลดลง 16% จาก 22,442 ล้านบาทในปี 2554 โดยยอดขายที่ลดลงเป็นยอดขายจากโครงการคอนโดมิเนียมซึ่งลดลง 30% เป็น 11,947 ล้านบาทในปี 2556 ในขณะที่ยอดขายจากโครงการบ้านจัดสรรอยู่ที่ 6,953 ล้านบาทในปี 2556 เพิ่มขึ้น 30% จาก 5,320 ล้านบาทในปี 2555 ทั้งนี้ ยอดขายในไตรมาสแรกของปี 2556 ลดลงเล็กน้อยในสัดส่วน 6% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เป็น 3,351 ล้านบาท
บริษัทมีรายได้จำนวน 12,615 ล้าบาทในปี 2556 เพิ่มขึ้น 10% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน รายได้จากคอนโดมิเนียมลดลงเล็กน้อย 2% เป็น 5,590 ล้านบาทในปี 2556 รายได้จากโครงการบ้านจัดสรรเท่ากับ 6,732 ล้านบาทในปี 2556 เติบโต 21% จาก 5,564 ล้านบาทในปี 2555 รายได้ในไตรมาสแรกของปี 2556 เพิ่มขึ้น 53% เป็น 3,216 ล้านบาท โดยรายได้จากทั้งคอนโดมิเนียมและบ้านจัดสรรเติบโต 170% และ 3% ตามลำดับ รายได้ของบริษัทตั้งแต่ปี 2557 จนถึงปี 2560 ส่วนหนึ่งรองรับด้วยยอดรอรับรู้รายได้อยู่แล้ว โดยในปี 2557 บริษัทมียอดรอรับรู้รายได้จำนวน 14,100 ล้านบาท ในปี 2558 มีจำนวน 14,454 ล้านบาท และระหว่างปี 2559 ถึงปี 2560 มีอีกประมาณ 10,000 ล้านบาท ดังนั้น จึงคาดว่ารายได้ของบริษัทจะเพิ่มขึ้นไปอยู่ที่ประมาณ 16,000-20,000 ล้านบาทในระยะเวลา 3 ปีข้างหน้า
สถานะทางการเงินของบริษัทยังคงแข็งแกร่ง โดยบริษัทมีอัตรากำไรที่สูงกว่าผู้ประกอบการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ส่วนใหญ่ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ทั้งนี้ อัตรากำไรจากการดำเนินงานของบริษัทอยู่ที่ 30%-33% ในช่วงปี 2554 จนถึงไตรมาสแรกของปี 2557 บริษัทยังคงรักษาอัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนให้อยู่ในระดับที่ยอมรับได้ โดยในช่วงปี 2552-2556 อัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนของบริษัทอยู่ที่ 30%-38% ในขณะที่อัตราส่วนหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยต่อส่วนทุนอยู่ที่ประมาณ 0.6% ในอนาคตคาดว่าอัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนของบริษัทจะยังคงอยู่ในระดับดังกล่าว อัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อเงินกู้รวมขึ้นและลงอยู่ในช่วงระหว่าง 50%-54% ในช่วงปี 2551-2553 ทั้งนี้ ระดับดังกล่าวถือว่ายังสูงสำหรับอุตสาหกรรมพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ในขณะที่อัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อเงินกู้รวมของบริษัทลดลงมาอยู่ที่ประมาณ 34% (ปรับอัตราส่วนให้เป็นตัวเลขเต็มปีแล้ว) ในปี 2556 จนถึงไตรมาสแรกของปี 2557 จากการมีภาระหนี้สินที่สูงขึ้น อย่างไรก็ตาม สภาพคล่องทางการเงินของบริษัทได้รับแรงหนุนจากวงเงินกู้ที่มีกับธนาคารพาณิชย์ที่ยังไม่ได้เบิกใช้อีกประมาณ 16,000 ล้านบาท ณ เดือนมีนาคม 2557