SET Index ปัจจุบันยืนอยู่เหนือระดับ 1,500 จุด ที่ระดับค่า P/E ratio ที่ประมาณ 15 เท่า สะท้อนถึงปัจจัยภายในประเทศที่ปรับตัวดีขึ้น หลังจากที่คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เริ่มเดินหน้านโยบายเศรษฐกิจ และได้คาดการณ์ว่าหลังจากที่ คสช. จัดตั้งรัฐบาลและดำเนินนโยบายเต็มรูปแบบแล้ว เศรษฐกิจของประเทศจะเติบโตได้ดี แม้ว่าในปีนี้หลายฝ่ายจะประเมินการเติบโตของ GDP อยู่ในระดับที่ 2% แต่ในปีหน้า คสช.ตั้งสมมติฐานว่า GDP จะเติบโตที่ 6.3% และอัตราเงินเฟ้ออยู่ที่ 2.3%
ดังนั้น หากเศรษฐกิจประเทศปรับตัวดีขึ้นจะส่งผลให้กำไรบริษัทจดทะเบียนเติบโตขึ้น และผลักดันให้ตลาดหุ้นไทยปรับขึ้นได้อย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ ด้วยพื้นฐานที่แข็งแกร่งของตลาดหุ้น และบริษัทจดทะเบียนไทย และ Valuation ที่อยู่ในระดับน่าสนใจลงทุน ทำให้มีโอกาสดึงเม็ดเงินลงทุนของต่างประเทศเข้ามาลงทุนได้ ซึ่งเป็นอีกปัจจัยที่หนุนให้ SET Index ปรับตัวขึ้นเช่นกัน
นายรัชต์ กล่าวเพิ่มเติมว่า จากการปรับตัวของตลาดหุ้น และกลยุทธ์การคัดเลือกหุ้นส่งผลให้กองทุนของบริษัทฯ สามารถจ่ายเงินปันผลได้ 2 กองทุน ให้กับผู้ถือหน่วยลงทุนในสัปดาห์ที่ผ่านมา ได้แก่ กองทุนเปิดแอสเซทพลัสกำไรปันผล (ASP-GDF) ที่เน้นลงทุนในหุ้นขนาดใหญ่ ที่มีกระแสเงินสดสูง มีปัจจัยพื้นฐานดี มีสภาพคล่อง ซื้อ-ขายได้ทุกวันทำการ โดยไม่มีค่าธรรมเนียมการซื้อขาย สามารถจ่ายเงินปันผลได้หน่วยละ 0.25 บาท และกองทุนเปิดแอสเซทพลัสหุ้นระยะยาว (ASP-LTF) ซึ่งเป็นกองทุนรวมหุ้นระยะยาว หรือ LTF มีนโยบายลงทุนในหุ้นปัจจัยพื้นฐานดี และมีการเจริญเติบโตอย่างต่อเนื่อง สามารถจ่ายเงินปันผลหน่วยละ 0.50 บาท