อย่างไรก็ตาม แนวโน้มผลประกอบการของบริษัทในครึ่งปีหลังน่าจะเติบโตได้ดีกว่าครึ่งปีแรก เนื่องจากสถานการณ์ต่างๆ กลับมาเป็นปกติและมีแนวโน้มที่ดีขึ้น ซึ่งจะทำให้ลูกค้าสั่งซื้อสินค้าของบริษัทเพิ่มมากขึ้นด้วย
นายรัฐวัฒน์ กล่าวอีกว่า บริษัทประเมินว่าโอกาสในการพลิกฟิ้นกลับมามีกำไรในปีนี้จากปี 56 ที่มีผลการดำเนินงานขาดทุน 14.58 ล้านบาทหรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กลับภาวะเศรษฐกิจ ซึ่งปัจจุบันถึงแม้จะมีสัญญาณเริ่มฟื้นตัวดีขึ้น แต่ก็ยังมีความไม่แน่นอน
ทั้งนี้ บริษัทก็ได้มีการเน้นการเพิ่มยอดขายและการสร้างผลกำไร โดยพยายามเพิ่มลูกค้ารายใหม่ทั้งในและต่างประเทศ ซึ่งขณะนี้บริษัทได้อยู่ระหว่างการเสนอและเจรจาต่อรองราคากับลูกค้ารายใหม่ในยุโรป 2-3 ราย คาดว่าจะได้ข้อสรุปที่ชัดเจนภายในต้นปี 58 นอกจากนี้ บริษัทก็ยังมองหาลูกค้ารายใหม่ในประเทศเพิ่มขึ้น รวมทั้งประเทศในแถบอาเซียน ได้แก่ มาเลเซีย เวียดนาม พม่า และอินโดนีเซีย ที่ได้มีการเข้าไปสำรวจตลาดบ้างแล้ว
“ถ้าให้พูดว่าจะพลิกมีกำไรได้ไหมในปีนี้ก็คงต้องบอกว่ายังไม่มั่นใจถึง 100% ว่าจะทำได้ เพราะว่ามันก็ต้องขึ้นอยู่กับสภาวะเศรษฐกิจที่ยังไม่แน่นอน แม้ว่าดูเหมือนจะดีขึ้น ทำให้เรายังไม่แน่ใจในเรื่องออร์เดอร์ที่เข้ามาของลูกค้าว่าจะมีมากแค่ไหน แต่เราก็พยายามเพิ่มลูกค้ารายใหม่ๆ เข้ามาด้วยเพื่อผลักดันยอดขายและกำไร อย่างลูกค้ายุโรปเราก็มีการเสนอราคาและต่อรองกันอยู่ ต้นปีหน้าคงจะเห็นความชัดเจน นอกจากยุโรปก็ยังมีแถวอาเซียนที่เราเริ่มมีการเข้าไปสำรวจตลาดบ้างและลูกค้าในประเทศเราก็ยังมองหาเพิ่มเรื่อยๆ จะกำไรหรือไม่นั้นขึ้นกับสถานการณ์อย่างเดียวว่าจะดีขึ้นจริงไหม"นายรัฐวัฒน์ กล่าว
นอกจากนี้ บริษัทได้ทำธุรกิจผลิตเครื่องใช้ไฟฟ้าเพิ่มขึ้นมา โดยใช้กำลังการผลิตที่เหลือ ซึ่งปัจจุบันบริษัทใช้กำลังการผลิตสินค้าหลักอยู่ที่ 60% ของกำลังการผลิตทั้งหมด หรือคิดเป็น 120-130 ตันต่อเดือน ลดลงจาก 200 ตันต่อเดือนในช่วงก่อนหน้านี้ ประกอบกับ บริษัทได้มีการเดินเครื่องเครื่องจักรใหม่ตั้งแต่ช่วงต้นปีที่ผ่านมา จึงมีความสามารถในการเพิ่มกำลังผลิตเพื่อรองรับยอดคำสั่งผลิตที่เพิ่มสูงขึ้นได้ในอนาคต แต่คำสั่งซื้อเครื่องใช้ไฟฟ้าที่เข้ามาในช่วงนี้ยังมีไม่มากพอที่จะส่งผลอย่างมีนัยสำคัญต่อผลการดำเนินงานของบริษัท
ส่วนกรณีที่นายณรงค์ อิงค์ธเนศ ผู้ถือหุ้นรายใหญ่ที่ถือหุ้นในนามกลุ่มบริษัท วีเน็ท แคปปิทอล จำกัด ได้ทำการขายหุ้น SANKO จำนวน 10% ส่งผลให้เหลือสัดส่วนถือหุ้น 11.34% จากเดิม 20.11% สาเหตุของการขายหุ้นของนายณรงค์มองว่าเป็นลักษณะการซื้อขายปกติของกองทุนที่จะส่วนใหญ่จะถือหุ้นไว้ไม่นานมาก และไม่ส่งผลกระทบต่อโครงสร้างต่างๆของบริษัท
“การขายหุ้นออกเราก็ไม่ทราบสาเหตุจริงๆ แต่คุณณรงค์เป็นผู้ถือหุ้นในกลุ่มวีเน็ท ซึ่งเป็นกลุ่มกองทุน โดยปกติแล้วกองทุนก็มีการซื้อขายกันปกติและไม่ถือหุ้นนานมาก จริงๆแล้วกองทุนเค้าอั้นที่จะขายมา 2 ปีแล้ว แต่ยังไม่ขายออก ตอนนี้คงต้องถึงเวลาที่เค้าจะขายออกมาทำกำไรบ้าง ส่วนขายให้ใครนั้นก็ไม่ทราบจริงๆเป็นการซื้อขายผ่านตลาดฯปกติ และการขายหุ้นออกในครั้งนี้ก็ไม่ได้กระทบอะไรต่อโครงสร้างต่างๆของบริษัท"นายรัฐวัฒน์ กล่าว