นโยบายการลงทุนแบ่งเงินลงทุนออกเป็น 2 ส่วน โดยเงินลงทุนส่วนใหญ่จะลงทุนในตราสารหนี้ที่คุณภาพดีทั้งในและนอกประเทศ โดยมีเป้าหมายให้เงินลงทุนในส่วนนี้กับดอกเบี้ยรับที่จะเกิดขึ้นเติบโตเป็น 100% และส่วนที่เหลือจะลงทุนในออปชั่นที่อ้างอิงผลตอบแทนของดัชนี Hang Seng China Enterprise หรือ H-Share เพื่อสร้างผลตอบแทนส่วนเพิ่มให้กับผู้ลงทุน โดยหากดัชนีดังกล่าวปรับตัวสูงขึ้นจากระดับที่กองทุนเริ่มลงทุนผู้ลงทุนก็จะได้ผลตอบแทนตามการเพิ่มขึ้นของดัชนีแบบไม่จำกัด แต่หากดัชนีปรับตัวลดลงก็จะยังคงได้รับเงินต้นคืนจากเงินลงทุนส่วนแรก
กองทุนนี้เหมาะกับผู้ลงทุนที่ไม่ต้องการลงทุนที่มีความเสี่ยงสูง แต่ต้องการผลตอบแทนที่ดีกว่าตราสารหนี้และเงินฝาก ซึ่งกองทุนเปิด ทิสโก้ ไชน่า ลิ้งค์ คอมเพล็กซ์ รีเทิร์น 3 สามารถตอบโจทย์ได้อย่างครบถ้วน เนื่องจากผู้ลงทุนมีโอกาสจะได้รับผลตอบแทนอย่างไม่จำกัดในกรณีหุ้นขึ้น และไม่ต้องกลัวขาดทุนในกรณีหุ้นตกนั่นเอง สำหรับเหตุผลที่เราเลือกลงทุนส่วนหนึ่งในตลาดหุ้นจีน จากมองว่าตลาดหุ้นจีนมีสัญญาณการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจที่ชัดเจนมากขึ้น
ฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน ทิสโก้ เวลธ์ ระบุว่า เศรษฐกิจจีนไตรมาส 2/57 มีการขยายตัว 7.5% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งถือเป็นระดับที่สูงกว่าตลาดได้คาดไว้ นอกจากนี้ยังมองว่าเศรษฐกิจจีนจะขยายตัวได้ต่อในครึ่งปีหลังจากปัจจัยการส่งออกเป็นหลัก ปัจจุบันดัชนี HSCEI ของจีน ซื้อขายที่ P/E ราว 7 เท่า นับเป็นหนึ่งในตลาดหุ้นที่มี Valuation ที่ถูกมาก เชื่อว่าการเร่งตัวขึ้นของเศรษฐกิจจีนในช่วงครึ่งปีหลัง ประกอบกับความคืบหน้าในการดำเนินมาตรการกวาดล้างคอรัปชั่นและการปฏิรูปเศรษฐกิจ จะช่วยสนับสนุนการเติบโตของกำไร และยกระดับ Valuation ของตลาดหุ้นจีน ให้กลับมาซื้อขายที่ระดับสูงขึ้นได้ และทำให้ตลาดหุ้นจีนเป็นหนึ่งใน Top Pick ของทิสโก้ในช่วงครึ่งปีหลัง
จากแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ยังทรงตัวอยู่ในระดับต่ำส่งผลให้ผลตอบแทนจากการลงทุนในตราสารหนี้และเงินฝากจะทรงตัวในระดับที่ต่ำเช่นเดียวกัน ดังนั้น การลงทุนในกองทุน"คอมเพล็กซ์ รีเทิร์น"ที่ บลจ.ทิสโก้ เป็นเจ้าแรกๆที่คิดค้นและบุกตลาดกองทุนในรูปแบบนี้ โดยมุ่งหวังเพื่อให้ผู้ลงทุนมีโอกาสได้ผลตอบแทนที่จะอ้างอิงกับดัชนีตลาดหุ้นโดยถ้าตลาดหุ้นขึ้นผู้ลงทุนมีโอกาสได้กำไรตามการปรับตัวขึ้นของตลาดหุ้น แต่หากตลาดหุ้นตกก็ไม่ขาดทุนเงินต้น จึงถือเป็นทางเลือกหนึ่งที่น่าสนใจในขณะนี้