"การซื้อกิจการในครั้งนี้จะสร้างความแข็งแกร่งให้กับ บลจ.ซีไอเอ็มบี-พรินซิเพิล ในการขยายโครงข่ายในภูมิภาคอาเซียนมากยิ่งขึ้นซึ่งเป็นไปตามแผนของกลุ่มซีไอเอ็มบีในการขยายกิจการและเสริมสร้างความแข็งแกร่งในภูมิภาค"
ดาโต๊ะ ศรี นาเซียร์ ราซัค ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มซีไอเอ็มบี กล่าวว่า “เราเชื่อมั่นว่าประเทศไทยเป็นหนึ่งในประเทศที่มีความสำคัญของภูมิภาคอาเซียน และแผนการเข้าซื้อกิจการในครั้งนี้เป็นการแสดงให้เห็นถึงความตั้งใจของเราในลงทุนและทำธุรกิจในประเทศไทยเพื่อวางรากฐานการเติบโตอย่างยั่งยืนของกลุ่มซีไอเอ็มบีในประเทศไทย"
นายจุมพล สายมาลา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บลจ.ซีไอเอ็มบี-พรินซิเพิล ในประเทศไทย กล่าวว่า “ธุรกรรมนี้ถือเป็นหนึ่งในการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญของธุรกิจบริหารจัดการลงทุนในประเทศไทย การเสริมบุคลากรที่มีความชำนาญและประสบการณ์จาก บลจ.ฟินันซ่า จะทำให้เราเป็นบริษัทจัดการที่มีบุคลากรที่มีคุณภาพและมีความเชี่ยวชาญเป็นอย่างยิ่ง
ทั้งสองบริษัทมีจุดเด่นที่สามารถนำมาผสานเพื่อสร้างความแข็งแกร่งได้เป็นอย่างดี โดยในประเทศไทย บลจ.ซีไอเอ็มบี-พรินซิเพิล มีความแข็งแกร่งในด้านฐานลูกค้าบุคคลผ่านผลิตภัณฑ์กองทุนรวม ในขณะที่ บลจ.ฟินันซ่า มีจุดเด่นในด้านธุรกิจกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ และระบบทะเบียนกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ เรามองว่าแผนการซื้อกิจการครั้งนี้จะทำให้เรามีความพร้อมที่จะนำเสนอผลิตภัณฑ์และบริการของเราให้กับลูกค้าได้ครอบคลุมทุกกลุ่มทั้งลูกค้าบุคคลและสถาบัน"
นายวรสิทธิ์ โภคาชัยพัฒน์ กรรมการผู้จัดการ บมจ.ฟินันซ่า(FNS) กล่าวว่า แผนการขายกิจการ บลจ.ฟินันซ่า ให้กับ บลจ.ซีไอเอ็มบี-พรินซิเพิล ในประเทศไทย ครั้งนี้ นับว่าเป็นการส่งมอบธุรกิจให้กับบริษัทจัดการที่มีความเชี่ยวชาญในธุรกิจบริหารจัดการลงทุน เราเชื่อมั่นว่าลูกค้าของบริษัทจะได้รับประโยชน์สูงสุดจากธุรกรรมในครั้งนี้
ทั้งนี้ บลจ.ซีไอเอ็มบี-พรินซิเพิล เกิดจากความร่วมมือของกลุ่มซีไอเอ็มบีและกลุ่มพรินซิเพิล ไฟแนนซ์เชียล สถาบันการเงินชั้นนำระดับโลกที่พร้อมด้วยประสบการณ์การบริหารจัดการลงทุนด้วยมาตรฐานระดับโลก ด้วยความแข็งแกร่งด้านบริหารจัดการลงทุนผสานกับทีมผู้เชี่ยวชาญ ทำให้เชื่อมั่นว่าจะสามารถส่งมอบสิ่งที่ดีที่สุดให้กับลูกค้า
ช่วงครึ่งปีแรกของปี 57 บลจ.ซีไอเอ็มบี-พรินซิเพิล ในประเทศไทย มีสินทรัพย์ภายใต้การบริหารอยู่ที่ 34,050 ล้านบาท หรือเติบโตเพิ่มขึ้น 36% YoY ซึ่งเป็นไปตามเป้าหมายที่บริษัทวางไว้ อย่างไรก็ตาม การควบรวมนี้จะทำให้สินทรัพย์ภายใต้การบริหารจัดการเพิ่มขึ้นที่ 70,350 ล้านบาท แยกออกเป็น การเติบโตจากธุรกิจกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ มีสินทรัพย์ภายใต้การบริหารจัดการเพิ่มขึ้นเป็น 25,540 ล้านบาท อยู่ในอันดับที่ 8 ของธุรกิจกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ ในขณะที่กลุ่มธุรกิจกองทุนรวมมีสินทรัพย์รวมอยู่ที่ 44,131 ล้านบาท อันดับที่ 11 ของธุรกิจกองทุนรวม (มิ.ย.57)