รายได้เฉลี่ยช่วงครึ่งปีแรกเติบโตจากการเติบโตของธุรกิจค้าเงินและธุรกิจเงินฝากที่มีการบริหารจัดการเป็นอย่างดี โดยทางธนาคารตั้งเป้าที่จะรักษาส่วนต่างรายได้ดอกเบี้ยสุทธิ(NIM)ไว้ที่ 3.4 % ซึ่งอยู่ในระดับที่ทำได้ในปัจจุบัน โดยช่วงครึ่งปีแรกที่ผ่านมา NIM ปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นราว 0.1% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน มาจากการที่ธนาคารมีความสามารถในการบริหารจัดการต้นทุนเงินฝากได้ค่อนข้างดี
ธนาคารเชื่อว่าจากสถานการณ์การเมืองที่สงบลง และคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.)ได้เข้ามาดำเนินนโยบายต่างๆเพื่อที่จะให้เศรษฐกิจกลับมาฟื้นตัวได้อีกครั้งหนึ่ง โดยจะช่วยให้ภาพรวมเศรษฐกิจในช่วงครึ่งปีหลังกลับมาฟื้นตัว ซึ่งจะส่งผลให้มีความต้องการสินเชื่อมากขึ้น โดยเฉพาะสินเชื่อจากผู้ประกอบการรายใหญ่
“หลังจากที่การเมืองเริ่มนิ่งขึ้น และเริ่มมีทิศทางที่จะดีขึ้น ซึ่งหลังจากที่ คสช. เข้ามาดำเนินนโยบายต่างๆแล้ว ซึ่งปัจจัยต่างๆที่มีทิศทางไปด้านบวกเราจึงมองว่าครึ้งปีหลังเศรษฐกิจก็จะกลับมาฟื้นตัว และการจับจ่ายใช้สอยต่างๆก็จะกลับมา ซึ่งการที่เศรษฐกิจกลับมาฟื้นตัวเป็นตัวแปลหลักที่จะช่วยให้งานด้านต่างๆปรับตัวดีขึ้น อาธิเช่นสายงานวาณิชธนกิจ งานไอพีโอ งานเป็นที่ปรึกษาการควบรวมที่มีเข้ามามากขึ้น รวมถึงความต้องการสินเชื่อที่จะมากขึ้นด้วย เราจึงเชื่อมั่นว่ารายได้ของเราปีนี้จะเติบโตได้ตามเป้าหมายที่วางเอาไว้ "นายสุภัค กล่าว
นอกจากนี้ ทางธนาคารตั้งเป้าที่จะรักษาระดับหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้(NPL)ทั้งปีให้อยู่ที่ระดับ 3% จากที่ในช่วงครึ่งปีแรกที่ผ่านมาปรับตัวสูงขึ้นเล็กน้อย เนื่องจาก NPL ของรายย่อยที่ปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นเล็กน้อย
ด้านดาโต๊ะ ศรี นาเซียร์ ราซัค ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มซีไอเอ็มบี กล่าวว่า ธนาคารอยู่ระหว่างการขยายเครือข่ายไปยังประเทศต่างๆ ในอาเซียน เพื่อรองรับการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน(AEC)ในปี 58 โดยปัจจุบันทางธนาคารอยู่ระหว่างขอใบอนุญาตเพื่อเปิดธนาคารในประเทศเวียดนามและพม่า และตั้งเป้าหมายจะมีเครือข่ายธนาคาร CIMB ครบทุกประเทศใน AEC ภายในปีหน้า